วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Adulate

Adulate


พระจันทร์เสี้ยว ความบอบบางของเธอคนนั้นยกแก้วขึ้น
ค่อยๆดื่มด่ำความเหน็บหนาวใครนะที่เข้ามาเปิดประตูแห่งอดีต
ปลดปล่อยให้ฝุ่นละอองพวกนั้นฟุ้งกระจายขึ้น
คำว่าพรหมลิขิตที่หมุนวนกลับมาเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน
แต่ใบหน้าเศร้าโศกแดงก่ำเพราะร่ำไห้ของเธอนั้น จะไม่มีวันหวนคืนมาอีก..

...ราตรีนี้ช่างเงียบเหงานัก...

ข้านั่งอยู่บนห้องพักชั้นสูงที่สุดของหอนี้..สายตามองฝ่าสายฝนพรำที่ตกไม่หยุดมาหลายทิวาวารไปยังหน้าหอ..มองแสงจากโคมไฟสีแดงที่ถูกจุดตรงหน้าประตู มองเห็นรถลากที่วิ่งผ่านไปมา..มองเห็นผู้คนเร่งร้อนกลับไปยังที่พำนัก และไม่มีผู้ใดเหลือบแลมายังหอที่ประดับโคมแดงแห่งนี้..

...บางที...อาจเพราะผู้คนเหล่านั้น ไร้ทุกข์ จึงมิอยากมาแสวงหาสุขยังที่แห่งนี้กระมัง..

ข้าละมือออกจากชายผ้าปิดหน้าต่าง ทิ้งให้ผ้าปักผืนงามต้องลมและหยาดฝนเพียงแผ่วเบา ก่อนจะผินกายลุกขึ้น หยิบกาน้ำชางามวิจิตรขึ้นมารินชาหอมอันลือชื่อลงบนถ้วยชามองเห็นควันสีขาวโชยกรุ่น..

...

เสียงม้าร้องหน้าประตูทำให้ข้าชะงัก ละมืออกจากกาน้ำชา ยื่นส่งให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกายและผลุนผลันเดินไปยังหน้าต่าง แหวกม่านสีสดออกแล้วทอดสายตาลงไปอย่างรวดเร็ว..

....ข้าได้ยินเสียงหัวอกร่ำร้องด้วยความยินดี..ยามเห็นร่างสูงสง่าที่ประทับในหทัยตั้งแต่ยามแรกพบก้าวลงมาจากรถลาก มือกร้านหยาบหากแต่ข้าจำได้ดีว่ามันช่างอบอุ่นนักจับปีกหมวกกว้างกระชับขึ้น..ยามนี้มือคู่นั้นคงหนาวเหน็บ..ข้าปรารถนาจะมอบอุ่นไอแก่ฝ่ามือคู่นั้นเหลือเกิน...

และราวกับรับรู้ถึงความนัยน์ ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมาสบตาของข้าอย่างรวดเร็ว..โอ...ข้าถึงกับมือไม้อ่อนยามถูกดวงตากล้าแกร่งนั้นจ้องมอง ละมือจากม่านหนาและทรุดกายลงกับเก้าอี้ไม้สลักสีนิลข้างกาย..หัวใจเต้นระรัวเร็วจนรู้สึกถึงแก้มที่ร้อนผ่าว...

“..ท่านหลิงเอ๋อร์...” เต๋อเจิน..เจ้าเด็กรับใช่ของข้าหันมาเรียกชื่อข้าเบาๆ ดวงตาของเขาแฝงแววครุ่นคิด..เจ้าเด็กน้อย..ข้ารู้..รู้ดีเชียวว่าเจ้าคิดเช่นไร..

“..อาเต๋อ..ดับโคมหน้าห้องเสีย วันนี้ข้าอยากพักผ่อน..” ข้าออกปากสั่ง พลางเมินหน้าไปมองจันทร์ที่สลัวเลือนรางเพราะเมฆหมอกและสายฝนที่รินหลัง ในหัวอกยังมีเสียงหัวใจเต้นระรัว..โอ..ข้าจะทำเช่นไรกับตัวเองดีน่ะ..กับบุรุษผู้กล้าแกร่งและอาจหาญผู้คว้าหัวใจของข้าไปครอบครอง..ทั้งที่เขาไม่ควรได้รับมันสักนิด..

ข้ากุมมือแนบแผ่นอกของตน ร่ำร้องด้วยความกลัดกลุ้มอย่างเงียบงัน..บนหอแดงอันลือชื่อของเมือง มีทั้งหญิงชายให้เลือกสรร..ข้า..ผู้อยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าหญิงงามและชายชาญทั้งหลาย ชายงามผู้ไร้หัวใจ..เหตุใดกลับหวั่นไหว..วาบวะหวิวกับบุรุษผู้พานพบเมื่อไม่กี่ทิวาวารที่ผ่านมา..

ข้าเอาคางเกยขอบประตู..พลางทอดถอนใจคิดถึงยามแรกที่เขาก้าวเข้ามาในหอแห่งนี้ บุรุษผู้มีท่าทีกักขฬะ แข็งกร้าว พูดจากระโชกโฮกฮาก รุนแรงเสียจนไม่มีหญิงชายใดกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว..เขาในสภาพเมามาย เรียกหาแต่ผู้ที่งดงามและโด่งดังที่สุด..ข้า..จึงก้าวไปหา..

ข้ายังจำได้ดียามที่เขากระชากแขนข้าเข้าปะทะ แล้วอุ้มข้าละลิ่วยังห้องนอน แม้ข้าจะแสนตระหนก แต่ก็ยังแสร้งมิตื่นกลัว กระทั่งเขาเหวี่ยงร่างข้าปะทะเตียงด้วยความรุนแรง..ข้าจึงมีสีหน้าเจ็บปวด เมื่อคิดจะร้องขอความช่วยเหลือกลับถูกชายผู้นั้นโถมตัวทายทับ..บดขยี้จุมพิตอันร้อนแรงปนกลิ่นสุราคละคลุ้ง แม้จะรุนแรงชวนให้หวาดหวั่น ทว่าก็น่าค้นหายิ่งนัก..

..ริมฝีปากข้าถูกจุมพิตนับครั้งไม่ถ้วน รสชาติของสุราชั้นเลิศผสมกับความรุนแรงเร่าร้อนปนปะไปกับกลิ่นอายของความปรารถนา..มือของเขาดึงทึ้งเสื้อผ้าของข้าออกอย่างเร่งร้อนเสียจนตั้งตัวไม่ทัน เสื้อคลุมชั้นดี ตลอดจนเครื่องแต่งกายชิ้นแล้วชิ้นเล่าหลุดลงไปกองกับพื้นห้อง ข้าพยายามดันแผ่นอกเขาออกห่าง..แม้ข้าจะเป็นนางโลม ก็หาได้ชื่นชอบการขืนใจอย่างรุนแรงเช่นนี้และข้าที่เป็นอันดับหนึ่งของหอแดงแห่งนี้ ก็มีสิทธิ์ในการเลือกผู้ร่วมหลับนอน..และข้า ก็หาได้ต้องการเจ้าโจรป่าท่าทางหื่นกระหายผู้นี้ไม่..

“..ปล่อยข้า..” ข้าได้ยินเสียงตัวเองคำราม แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะเขาก้มลงมาปิดปากข้าไว้ด้วยริมฝีปากของตนเองอย่างเร่งร้อน ไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าทำการอันใดอีก มือของเขาจับต้อง ฟอนเฟ้นทุกส่วนบนร่างกาย ปลุกเร้าจนข้าดิ้นเร่า..เผลอร้องครางครวญออกมาในลำคอ

น้ำตาข้าไหลพรากอาบแก้มยามถูกร่างกายสูงใหญ่นั้นสอดกายเข้าหาอย่างไม่ปราณี ความดุดันป่าเถื่อนที่ไม่ค่อยพบเจอนั้นเร่าร้อนเสียจนแทบมอดไหม้ ข้าจำไม่ได้ว่าตนเองกรีดร้องออกไปมากเท่าไหร่ และเจ้าคนป่าผู้นี้ได้สุขสมกับร่างกายของข้าไปเพียงใด ข้าทราบเพียงแต่เมื่อยามเช้าล่วงมาตนเองมีไข้สูงทั้งเจ็บร้าวไปเสียทั่วกาย และนับจากวันนั้น..เขา ก็จะมาหาข้าทุกคืน..จวบจนบัดนี้ ก็นับเวลาเข้าสองเดือนแล้ว..

กริ้ง...กริ้ง...

เสียงกระดิ่งลมไหวเบาๆ ทำให้ข้าละออกจากภวังค์ หันหลังไปมองประตูทันที มองเห็นกระดิ่งสั่นไหว..และร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเงามืด..

หัวใจข้าเต้นถี่รัวขึ้นทันตาจนข้ากลัวว่าเขาจะได้ยินนัก ข้ายืนกายขึ้นสูง มือเท้าพนักเก้าอี้ตัวงามไว้แล้วจ้องสบสายตาคู่นั้นอย่างแน่วแน่..หยิ่งยโส..เหมือนที่ข้าเป็นในทุกครา..

“..ท่าน..” ข้าเม้มปาก..หรี่ตาลง.. “ มิเห็นหรือว่าวันนี้ข้าไม่รับแขก..”

“..เพราะเมื่อครู่เห็นหลิงเอ๋อร์มองหา..ข้าเลยมาพบให้ชื่นใจ..” เขาเอ่ย พลางก้าวเข้ามานั่งบนโต๊ะน้ำชา..มองน้ำชาเย็นชืดบนโต๊ะแล้วหยิบขึ้นมาจิบ..

“...กระทั่งยังรินชารอข้า..ไม่มาก็ออกจะใจร้ายไปมากกระมัง..”

“..หาใช่ไม่..” ข้าเม้มปาก มองเขาที่ถอดหมวดของตนลงบนพื้น เผยดวงหน้าเข้มราวกับรูปสลักและดวงตาที่ฉายแววเริงร่า..

“..หลิงเอ๋อร์..ข้าเมื่อยไหล่นัก..วันนี้นวดไหล่ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?..”

“..ท่านนี่..” ข้าขมวดคิ้ว “..ข้าบอกแล้วมิใช่รึ ว่าวันนี้...”

“ ไม่รับแขก..”

ข้าสะดุ้งยามเขาเข้ามาประชิดกายอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีนิลมองมายังตัวข้า ริมฝีปากจุมพิตหลังมือจนตัวข้าหน้าแดงก่ำ..

“..เห็นข้าเป็นแขกหรอกรึ..”น้ำเสียงกระซิบแผ่วเบานั้นดังขึ้นข้างๆใบหู ข้าตัวสั่นยามรู้สึกถึงความเปียกชื้นบนลำคอ สัมผัสวาบหวาม..ชวนให้ใจสั่นระรัว..

“..อา...ท่าน....” ข้าครางออกมาพลางหมุนศีรษะสบเนตรสีเข้ม เขาปล่อยริมฝีปากข้าเป็นอิสระแล้ว ทว่าปลายลิ้นยังแลบเลียซ้ำๆ..ความเย็นวาบปนนุ่มนวลน้ำให้ข้าตัวสั่นระริกไหว.. มือหนาสอดโอบกายข้าจนแนบชิด สัมผัสเรือนกายผ่านเนื้อผ้าลื่น..สัมผัสเหล่านี้ทำให้ข้าหน้าแดงจัดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว ร่างสั่นระริกยามเอนตัวซบยังร่างสูงใหญ่ราวกับไร้เรี่ยวแรง..

“..เรียกชื่อข้าสิ...” เสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้เปลือกตาของข้าเปิดขึ้นมาอีกครา ข้าตวัดแขนโอบรอบลำคอเขาแน่น สบกับดวงตาพราวระยับนั้นอย่างเขินอาย แล้วจึงกระซิบออกไปเพียงแผ่วเบา..

“..เหอหลง..”

......................................................

ข้าเอนกายซบแผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อนในที เงยหน้าสบมองบุรุษผู้ทอดกายเคียงข้างเขาผู้นั้นเท้าแขนข้างหนึ่งบนพนักเก้าอี้ตัวยาว ริมฝีปากจิบสุราชั้นเลิศ บนไหล่มีเต๋อจินคอยบีบนวดอย่างรู้งาน ฝ่ามือของข้าทาบลงบนแผ่นอกหนา ไล้เล่นอย่างหยอกเย้า แล้วเงี่ยหูฟังเสียงคำรามต่ำในลำคอของเขา...

ปิ่นปักผมสีสวยสดถูกยื่นออกมาให้ข้าแย้มรอยยิ้มหวาน เสอดมันลงบนมวยผมของข้าช้าๆ.. มือหนาไล้เส้นผมสีนิลงามของข้าเล่น พลางค่อยๆสูดดมกลิ่นรวยริน เขาคลี่ยิ้มมือข้างหนึ่งโอบเอวข้า กอดกระชับ..

“..ข้าให้เจ้า..” เอ่ยพลางสูดลมหายใจช้าๆ..

“..ขอบคุณ...ข้าจะเก็บมันไว้ และใช้กับท่านเท่านั้น..” ข้าเอ่ยพลางซุกอกเขาอย่างออดอ้อน..

“..นั่นคือคำสัญญาของข้า..ว่าจะอยู่กับเจ้า..”

ข้ายิ้มกว้าง มิเอ่ยคำใดอีก นอกจากจะซุกใบหน้าลงบนอกหน้าของเขาด้วยความยินดีนัก เขาไล้ละเลียดดอมดมเส้นผมของข้า แล้วครางออกมาผ่าเบา..

“..ผมเจ้า..ทั้งหอม ทั้งนุ่ม...ช่างงามนัก..”

“..นอกจากเส้นผมนี้แล้ว มิมีส่วนใดน่ามองอีกเลยรึ?..” ข้าถามอย่างยั่วเย้า สบนัยน์ตาพราวระริกคู่นั้น..

“..เจ้าก็รู้...ว่าตัวเจ้างดงามเสมอ..” มือของเขาสอดเข้ามาตรงรอยแยกที่หลบอยู่หลังเนื้อผ้า ข้ารีบเบี่ยงกายหนี..คว้าเอาจอกสุราที่รินมาแล้วจ่อบนริมฝีปากหนา..

“..ท่านนี่...อย่าสิ...เต๋อจินก็อยู่..” ข้าเอ่ย พลางวางจอกสุราลงทว่ากลับถูกโอบไว้จากด้านหลัง เขาโอบเอวข้าไว้ ซุกไปหน้าลงกับซอกคอ...ดมดอม..และจุมพิตแผ่วเบา สัมผัสแก้มข้าเบาๆ..

เขารั้งกายข้าไว้แนบกาย กอดรัดพัวพันไม่ห่าง ประสานมือข้าเข้ากับมือตนแล้วไล่จุมพิตอย่างเพลิดเพลิน ข้าหลับตาลงช้าๆ แล้วออกปากบอกให้เต๋อจินออกไปพักผ่อน..

ขณะที่หลับตาลง หูข้าแว่วยินเสียงพิณดังขึ้นเบาๆ และคนที่โอบกอดข้าก็เกร็งตัวขึ้นมาฉับพลัน..

“”””””””””””””””””””””””””””””””””””

....ข้าลับกายอยู่ข้างประตูบานใหญ่ ใบหน้าซ่อนอยู่ภายใต้เงามืด มีเพียงสายตาที่มองเท่านั้นยังวาวโรจน์และเพ่งมองอย่างรวดร้าว..

...ท่าน...

....ท่านกำลังโอบกอดใครอยู่..?...

...บุรุษที่ข้าสเน่หายิ่งนักกำลังโอบกอดหญิงใด..

ด้วยดวงใจที่ชอกช้ำและทุกข์ระทม ดวงตาที่แสนปวดร้าวของข้ามองเห็นเขากำลังโอบกอดสตีสาวนางหนึ่ง หญิงสาวที่ข้าจำได้ว่านางคือนักดนตรีนางหนึ่งของหอ นางใส่ชุดสีขาวไร้สีสันราคาถูกไม่เหมือนอาภรณ์สีแดงชาดงดงามที่ข้าสวมใส่อยู่แม่แต่น้อย ใบหน้ามิได้งดงามหวานล้ำเทียบเทียมข้า..แต่เพราะเหตุใด..เหตุใดท่านจึงละทิ้งข้าให้ปล่าวเปลี่ยวแล้วหันมากกกอดนางแทนเล่า...

...หรือเพราะนางคือสตรีหรือ..ท่านสเน่หาสตรีแสนธรรมดามากกว่าบุรุษผู้งดงามอย่างข้ารึ จึงได้ละทิ้งข้าไป..

โอ...ข้าแทบจะพยุงกายไม่ไหว แว่วเสียงพร่ำรำพันคำรักเช่นเดียวกับที่เคยได้รับ ยิ่งทำให้ใจรวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ..

..ไหนท่านเคยบอกว่ารัก..

...ท่านเคยกระซิบ..บอกข้า..ว่าจะมิมีแปรผัน..

แต่บัดนี้ข้าเห็นท่านกกกอดกับสตรีผู้นั้น ด้วยความอ่อนโยนเช่นที่เคยกระทำต่อข้า ท่านพลอดรักกับนางเช่นเดียวกับที่เคยบอกข้า ท่านจูบเส้นผมนาง สัมผัสแก้มของนาง โอบกอดนาง ท่ามกลางแสงเทียนเช่นที่เคยทำกับข้า..

...หัวใจข้าราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ..นี่หรือ..นี่คือน้ำใจบุรุษ...เหตุใด...เหตุใดท่านจึงโลเล เหตุใดจึงแปรผัน !!..

ข้าเม้มปากแน่น หัวอกร้อนระอุด้วยความทุกข์ระทมปนเคียดแค้น มองไปยังตัวท่านที่โอบกอดนางอย่างมีความสุขอีกคราอย่างเจ็บช้ำ..ท่าน...ท่านเป็นของข้าเพียงผู้เดียวมิใช่หรือ..

...แม้อ่อนแรงแทบไม่อาจก้าวเดิน ข้าก็ยังต้องฝืนจรดฝีเท้าลงบนไม้กระดานอย่างเงียบงัน ย่างเท้ากลับไปยังห้องพักของตนด้วยดวงตาแดงก่ำราวกับจะร่ำไห้ แม้จะย่างเท้าออกไปทว่าความเคืองแค้นมิได้จางหาย..

...ท่านเป็นของข้า...เป็นของข้า...

...เพียงให้ท่านกลับมาเป็นของข้า แม้จะต้องทำเช่นไร ข้าก็มิหวั่นกลัว !!!..

ข้ามองเห็นเต๋อจินยืนรออยู่ห้องห้องพัก ข้าโผกายซบเขาแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว..

“..ท่านหลิงเอ๋อร์..” น้ำเสียงของเขาดูร้อนรน ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นฉายความว้าวุ่น..

“.เต๋อจิน....” ข้าวางมือบนแขนของเขา แล้วกระซิบบางอย่างกับเด็กหนุ่มผู้นั้นเพียงแผ่วเบา..

................................

...วันนี้ข้ามองมิเห็นดวงจันทร์...

ข้าทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดิม มองข้างกายที่ว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย ข้าหยิบหมอนหนุนมาวางอย่างรวดร้าว..นั่งนิ่ง..ปล่อยให้เวลาดำเนินไปช้าๆ...

ข้ายังจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ดี..

ข้ามองเห็นนางนอนทอดกายให้ชายที่ข้ารักยิ่งโอบกอด ข้ามองเห็นรอยยิ้มอันสุขสมของนาง และมองเห็นความสุขในดวงตาของบุรุษผู้เป็นของข้า..

ข้าหลับตาลงช้าๆ..ยามมองเห็นนางทอดกายแน่นิ่ง...ในมือยังมีถ้วยชาสีขาวใบหน้าแปรเป็นซีดเผือก..

ข้ามองเห็นท่านเขย่ากายนางอย่างร้อนรน ได้ยินเสียงเรียกอย่างตกตะลึงปนอาวรณ์ และได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธเคืองของท่าน..

ข้าเพียงแต่ยกยิ้ม มองกาน้ำชาอันงามวิจิตรในมือของตน แล้วจรดฝีเท้าเหยียบย่างมายังห้องนอน

............................

ความเย็นเฉียบที่พาดลงบนลำคอทำให้ข้าสะดุ้ง..

ข้ามองเห็นปลายดาบคมที่ทาบลงบนลำคอ.หันไปสบมองดวงตาอันวาวโรจน์ด้วยความโกรธเคือง แม้ในใจจะปวดร้าว แต่ข้าก็ยินดีนัก..

“..ท่าน...” ข้าหันกลับไป.อุทาน แล้วหยาดน้ำตาก็รินไหล..

ข้าลุกขึ้นโอบกอดเขาโดยมิสนใจว่าจะได้รับบาดแผลจาดคมดาบนั้นซักนิด.. แม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดยามขยับกายแต่ก็ไม่คิดจะนึกถึงมัน..

“..เอ่อ...เจ้า... “

“..ท่านกลับมาหาข้าใช่ไหม..?..”

“..ข้า....”

“..ท่านจะไม่มีใคร..นอกจากข้า..อย่างที่ท่านเอ่ยปากไว้ ใช่ไหม..ใช่ไหม..?..” ข้ากรีดเสียงสะอื้นสั่นไหว เขาเกร็งร่างยามเมื่อข้าโอบกอด แต่พอมองเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของข้า เขาก็ทอดถอนใจ และยกมือขึ้นลูบเส้นผมของข้าเพียงแผ่วเบา..

“..ข้าจะอยู่กับเจ้า...อึ..ก...”

...ข้ามองเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า มือยังอยู่บนเส้นผมของข้า สัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงบนไหล่ทำให้ข้ายิ้มน้อยๆอย่างแสนสุข..

มือของข้าเอื้อมโอบกายเขาที่เอนเข้าหา ดวงหน้าของเขาซีดเผือกและมีโลหิตสีสดไหลออกจากริมฝีปาก ข้าบรรจงเช็ดให้อย่างแผ่วเบาด้วยความอาดูรยิ่งนัก..

ข้าค่อยๆดึงปิ่นปักผมออกจากแผ่นหลังของเขา มองเห็นเต๋อจินยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่ง ข้ายิ้มหวานให้เด็กหนุ่มผู้นั้น แล้วโน้มกายเขาเข้ามาหา แตะริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มนั้นแผ่วเบา..

เต๋อจินยืดกายขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง งับประตูบานนั้นปิดลงช้าๆ..

ข้าก้มมองใบหน้าหล่อเหลาบนตักอีกคราอย่างยินดี ใบหน้าที่ข้ารัก กำลังจ้องมองข้า ดวงตาที่ข้าหลงใหลกำลังจ้องมองมาที่ข้าเช่นกัน ข้าลูบแก้มสากเบาๆด้วยความรักยิ่ง แล้วยิ้มหวานด้วยความยินดี เพราะนับจากนี้ จะมิมีผู้ใดสามารถพรากจากเราได้อีก ท่าจะอยู่เคียงคู่กับข้า...ที่นี่..ณ..ที่แห่งนี้...

ข้าทอดสายตามองบานหน้าต่างที่เปิดกว้าง มองเห็นแสงจันทราสาดส่องอย่างชัดเจนหลังจากที่มันมืดมิดขมุกขมัวมาหลายวัน..

ผ้าม่านสีแดงสดพลิ้วไหวสายลมเย็นโชยแผ่วเบาย่ามเมื่อสายฝนจางหาย ข้ายิ้มน้อยๆจำได้ดียามเวลาที่ข้าคอยเฝ้ามองชายผู้นี้ รอเวลาเขาก้าวออกมาจากรถลาก แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองข้าด้วยแววตารู้ทัน..
..แต่บัดนี้..ข้ามิต้องมองหา ไม่ต้องชะเง้อคอยหาท่านอีกแล้ว..

ข้ายกมือลูบแก้มขาวซีดของเขาช้าๆด้วยความรักอย่างยิ่ง มือของข้าสอดประสานมือของเขา ข้าทอดกายแนบร่างสูงใหญ่ ซบอกกว้าง มองดวงจันทร์ที่ทอแสงงามด้วยดวงตาเป็นประกายสุขล้ำ..

....ภายในความเงียบนั้น..ข้ายังได้ยินเสียงกระดิ่งลมแผ่วเบา..

กริ๊ง...กริ๊ง....





The End




จิตซะให้พอใจ me/หัวเราะร่า..



เขียนเหมือนคนเก็บกดเนาะ เรื่องสั้นเรื่องนี้ ใช้เวลาเขียนประมาณชั่วโมงฝ่าๆ หลังเกิดอาการ ทนไม่ได้ ยามได้ทอดทัศนาเอ็มวีหนึ่งของพี่เจย์..ชื่อเพลงว่า Fa ru xue (ฟ่าหรูเสวี่ย / เส้นผมละเอียดนุ่มดุจเกล็ดหิมะ) 狼牙月 伊人憔悴 ค่ะ

ดูเอ็มวีแล้วแบบ..อ้ากกกกกกก.. ไม่ไหวแล้ว เจอแบบนี้มันต้อง...



ดูเอ็มวีนี้แล้วเคืองพระเอกจริงๆ แต่บรรยากาศสวยน่ะค้า เป็นเอ็มวีแนวจีนโบราณ ภาพสวยมากโครงเรื่องคล้ายๆกัน แต่ต่างกันตรงที่ตอนจบต่าง รายนั้นแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่อิชั้นทนไม่ไหว ชิชะ ทำตัวแบบนี้ อย่าได้มีสิทธิ์คาบนายเอกกรูไปแดกเลยว่ะ

..แต่ในเอ็มวีนั้นเป็นผู้หญิงน่ะ ชอบผู้หญิงชุดแดงมาก ให้ความรู้สึกแรกๆเหมือนผู้ชาย เพราะทรงผม กับไม่ค่อยเจอหน้าอก ห้าๆ

เพิ่มเติมเล็กน้อย

ทำไมต้องกระดิ่ง..? กระดิ่งเป็นชื่อของนายเอกค่ะ
เหอหลง หมายถึง เข้ากันได้,มังกร
หลิงเอ๋อร์ หมายถึง กระดิ่ง,ลูก
เต๋อจิน หมายถึง สุขสว่าง ,คุณธรรม (ที่ชาวบ้านเค้าอาจสงสัย ว่าเรื่องนี้มันคุณธรรมตรงไหน )



อีกนิด..ชื่อเรื่อง Adulate หมายถึง คลั่งรักค่ะ แบบว่ารักบ้าคลั่ง รักต้องฆ่าของจริง..ฮึฮึ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“The moments pass so quickly, But the memories last forever.”

“The moments pass so quickly, But the memories last forever.”




- - Anonymous - -
























แม้เวลาจะผ่านไปเร็วซักแค่ไหน แต่ความทรงจำคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์


ความทรงจำร้ายๆ หรือเรื่องราวที่ผ่านเข้ามามากมาย ก็จำได้เช่นเดียวกัน




คำถามที่ว่า ทำไมคนเราถึงจำเรื่องร้ายๆได้ชัดเจนกว่าเรื่องดีๆ.. ก็ยังมีคนสงกาอยู่จนถึงทุกวันนี้..





ทำไมน่ะหรือ?..คงเพราะความทรงจำร้ายๆมันจะสลักแน่น ติดอยู่ในหัวใจเราได้ดีกว่ากระมัง..


เพราะเป็นความทรงจำร้ายๆ จึงได้เจ็บปวด



เพราะเป็นความทรงจำร้ายๆ จึงได้จดจำ


เพราะเป็นความทรงจำร้ายๆ จึงได้ซึมซับเอาความเจ็บปวดมาใส่ในหัวใจได้อย่างง่ายดาย..


ช่างน่าสงสาร กับคนที่ต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้..



แต่ที่น่าขำ คือไม่ว่าใคร ก็ไม่เคยจะไร้ความทรงจำอันเลวร้าย นี้แม้แต่คนเดียว


อาจเพราะมันเป็นความจริง และเป็นสิ่งที่ต้องเกิด และควรเกิด เป็นประจำของชีวิต เป็นประจำของทุกๆวัน..


ที่ต้องมีเรื่องราวเลวร้ายเข้ามาในชีวิต


แต่เพราะความเจ็บปวดจากเรื่องราวที่เลวร้ายนี้มิใช่หรือ ทำให้เราได้รู้ ว่าความสุขเป็นเช่นไร เพราะความทุกข์นี้ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เรารู้ว่าวันเวลาที่มีความสุขนั้น แสนจะมีค่าและควรรักษามันไว้ให้อยู่กับเราได้เนิ่นนานที่สุด




" คนที่ไม่เคยทุกข์ ย่อมไม่รู้ว่าความสุขเป็นเช่นไร"


คำกล่าวนี้...เป็นจริง..



ทั้งที่ควรจะรักษาและโอบอุ้มมันไว้ ทว่าความสุขกลับหล่นหาย หลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว พอๆกับความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามา


แต่จะกลัวอะไรเล่า ในเมื่อเราก็ยังมีความทรงจำดีๆมีเรื่องดีๆรออยู่..



................................................






มีใครสักคนบอกฉันว่า " ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น ถ้าเราคิดว่าปัญหาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราเจอเพียงชั่วคราว"





กับวันนี้..ที่ชั้นอึดอัด กับการกระทำบางอย่าง ของคนบางคน



แต่มันไม่จำเป็นหรอกน่ะ ที่จะมาพร่ำเพ้อหรือบอกกล่าวให้ใครรู้ถึงปัญหานั้นมากกว่านี้


...เธอบอกว่าอยู่กับฉันไม่ได้ แค่นั่นก็พอแล้ว



ไม่จำเป็นต้องสรรหาถ้อยคำสวยงาม อ่อนหวานหรือไพเราะเพราะพริ้งมาบอก

แต่บอกว่าจะไป ก็คือจะไป


แค่บอกว่าอยู่ไม่ได้ ฉันก็ไม่ลำบากอะไรนักหนา




อย่ามาสงสาร หรือใจดี อย่ามาห่วงใย กลัวฉันจะลำบากกับการตัดสินใจของเธอเลย


เพราะนั่นมันจะทำให้ฉันยิ่งโกรธและเกลียดเธอมากขึ้น











...เกลียดจนบางครั้งอยากจะให้เธอหายไปจากโลกนี้ซะ...









...แต่มันก็เป็นแค่ความคิด อยากตกใจไปล่ะ..




ฉันว่าหลายคนก็เคยเป็นกระมัง เวลาที่ทะเลากับใครหรือมีปัญหากับใครซักคน


เวลาที่เราเกลียด และรู้สึกโมโหจนทนไม้ได้ จนอยาให้เขาหายไปจากสายตา ให้เขาหายไปจากโลกนี้ซะ..


...ไม่เคยเป็นเหรอ..ถ้าไม่เคยฉันก็ขอโทษแล้วกัน ที่มาพูดจาอะไรแปลกๆให้ฟัง..


ก็ฉันแค่คิด แต่ไม่ได้อยากให้มันเป็นจริงเสียหน่อย..



เพราะอีกไม่นานหรอก ความรู้สึกนี้ก็จะจางหายและ...ฉันก็จะลืมไป ว่าเคยรู้สึกอะไรกับเธอ..



เพราะปัญหาที่ชั้นพบเจอ ก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของช่วงชีวิตที่ชั้นเจอมันแค่ชั่วคราวนี่..





ไม่เห็นจะต้องมาครุ่นคิดจริงจังอะไรมากมายหรอกน่ะ..






......................................






แต่บางครั้งก็อดระทดระท้อใจไม่ได้ ว่ามนุษย์นี่เกิดมาเพื่อโกหกและทำร้ายกันและกันหรืออย่างไร...



บางครั้งชั้นก็นึกขำกับการกระทำของบางสิ่ง บางอย่าง บางคน




เมื่อวานพวกเขาโกรธ เกลียด ชิงกันมากมาย..


แต่มาวันนี้กลับกลายเป็นเพื่อนสนิทกันซะได้..


ทำไมไม่ซื่อสัตย์กับตนเองบ้างน่ะ..



บางทีการซื่อสัตย์กับตนเอง อาจำทำให้เสียอะไรบางอย่างไปกระมัง ถึงไม่ค่อยมีคนทำได้..



แต่การยอมโกหก เพื่อบางสิ่งเหล่านั้น ฉันกลัวจริงๆ ว่าสักวัน เราจะลืมเลือนตัวตนที่แท้จริงของกันไป



... หรือว่านี่..จะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่ควรจะชินชาต่อมัน..รวมทั้งความเจ็บปวดทั้งหลายแหล่..




ถ้าคนที่รับมันไม่ได้..ก็ไม่อาจยืนหยัดบนนี้ได้หรือ?..


คนที่เจ็บปวดทุรนทุรายกับเรื่องแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาอ่อนแอหรือไร?



หรือคนที่ชาเฉยต่อความเจ็บปวดทั้งหลาย จะเป็นผู้ที่เเข็งแกร่ง..





แต่ตราบใดที่เรารู้สึกเจ็บปวดและเห็นใจผู้อื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าเรายังเป็นมนุษย์น่ะ..



..............................................................