วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"Solitude"






Solitude and Silence








01








ฝนตก..





    สายฝนสาดโปรยปรายมาจากท้องฟ้าปะปนไปกับกลิ่นของหิมะ เกล็ดสีขาวพร่างพรูลงมาจากท้องฟ้าสีเข้มที่พร่างพราวไปด้วยดวงดารานับพัน ทั่วท้องถนนถูกประดับประสาไปด้วยแสงของโคมไฟรูปฟักทองสีสวย บรรยากาศรื่นเริงปนสยองขวัญเล็กๆคลอเคล้าเสียงเพลงงานเทศกาลสุดท้ายปลายเดือนของชาวเมืองที่ชื่อว่าฮาโลวีน



   งานเต้นรำที่ถูกจัดขึ้นพร้อมกับการ"ล่าหนู"ของผู้บัญชาการจบลงไปอย่างไรเขาไม่รู้ เอาจริงๆก็ไม่ได้สนใจเสียเท่าไหร่ รู้สึกสนุกไหมก็ใช่ แต่บัดนี้มีอะไรให้ทำมากกว่านั้นมากมายนัก สแกร์โครวเดินไปตามถนนที่เริ่มมีเกล็ดหิมะทิ้งตัวลงประปรายของแคปปิตอล ผู้คนที่เดินผ่านไปมามีไม่มากนักคงเพราะส่วนใหญ่ต่างก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่งานเต้นรำประจำเมืองแล้ว ส่วนตัวเขา..ก็ไปร่วมมาเช่นกันแม้จะเพียงไม่นานก็ตาม



    ดวงตาสีเขียวสดภายใต้หน้ากากสีเข้มจ้องมองแสงไฟตามทาง ฝีเท้าพาเดินไปยังจุดหมายที่เคยคุ้น จากเมืองหลวงที่คึกคักเต็มไปด้วยแสงไฟ มายังเขตเหนือที่เต็มไปด้วยกองหิมะทับถมและลมหนาวหวีดแรง รอบกายมีแสงไฟสลัวรางเพียงแค่พอนำทาง ไร้ฝีเท้าของผู้ที่เดินรอบกาย จะมีบ้างก็เพียงร่างของบรรดาหัวขโมยและคนจรจัดที่เร้นกายอยู่ในซอกตึกและจ้องมองมาด้วยดวงตาวาววับ



    ร่างของหัวขโมยนายหนึ่งเดินตัดหน้าเขาอย่างจงใจ สแกร์โครวชะงักฝีเท้า ปรายยิ้มให้อย่างรู้ทันกลเม็ดเด็ดพรายนี้ดี เจ้าหัวขโมยรายนั้นจ้องมองท่าทีของเขามาจนถึงรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าพลางสำรวจตรวจตรามองเสื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะจ้องเขม็งไปยังอัญมณีสีเขียวบนคอเสื้อ และไล่ลงมาที่แหวนบนนิ้วกลางซ้าย



    แววตาของมันวาววับ ไม่นาน พรรคพวกที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วก็เดินปรี่เข้ามาหา..



    สแกร์โครวยิ้ม จ้องมองพวกมันเงียบๆอย่างไม่หยี่ระ นัยน์ตาสีเขียวเข้มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มือและเท้าทำงานตามสัญชาติญาณป้องกันตัว ในหัวกลับคิดคำนึงไปถึงอดีตที่ผ่านมายาวนาน



 นาน..เหมือนฝัน แต่เพียงกระพริบตา ก็เหมือนจะปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า



 อดีตที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้น และเป็นดั่งเงาดำมืดในหัวใจที่แผ่ขยายมากขึ้นทุกที










  

                    


     (ขอบคุณรูปจากผปค.เอวาค่ะ)


  หิมะสีขาวปลิวว่อนบนท้องฟ้าสีครึ้ม หนาว..ร่างของเขาสั่นกึกๆไม่ต่างกับเด็กหญิงข้างกาย พวกเขาสองคนนั่งตัวลีบซุกกันเงียบๆในกองไม้และเศษซากขยะพร้อมซากปรักหักพังที่ทับถม แว่วเสียงตะโกนร้องฟังไม่ได้สรรพของบรรดาผู้ใหญ่ที่ตัวเขาต่างไม่เคยคุ้นและยิ่งมันดังเข้ามาใกล้ เสียงสะอื้นของเด็กหญิงตัวเล็ก ผมสีน้ำตาลข้างกายก็ดังมากขึ้นทุกที




     มือของเขาจับมือของเด็กคนนั้นไว้ หลังฝ่ามือของพวกเขาปรากฏรอยเลือดและรอยแส้พาดประปราย มือเล็กๆที่แดงช้ำเป็นจ้ำจากการถูกหิมะกัดบีบมือของเขาไว้แน่น เนื้อตัวที่สั่นไหวพร้อมเสียงร้องไห้อย่างน่าสงสารนั้นดังขึ้นเป็นระยะด้วยเจ้าตัวหวาดผวาเหลือเกิน



     "ไม่เป็นไร เอวา ไม่เป็นไร" สแกร์โครวกระซิบบอกเด็กหญิง พลางดึงเศษผ้าและกระสอบป่านสีดำมาคลุมร่างของพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ เด็กน้อยวัยกำลังโตสองคนนั่งนิ่งไม่กล้ากระดิกกระเดี้ยวท่ามกลางเสียงตะโกนของบรรดาผู้ใหญ่รอบกาย



    "ฉันกลัว โครว..ฉันกลัว"เด็กหญิงร้องไห้กระซิก ใบหน้าที่มีกระอยู่ประปรายเต็มไปด้วยรอยเปื้อนขมุกขมอมและรอยแผลบนขมับสองสามแห่ง เลือดแห้งเกรอะกรังไปนานแล้ว แต่รอยแผลนั้นก็สร้างความเจ็บปวดและพิษไข้ ขอบตาแดงก่ำร้อนผ่าว น้ำใสๆไหลอาบแก้มด้วยความหวาดผวา



    "ข้าก็...ฮึ่ย เจ้าจะร้องไห้ทำไมยัยขี้แย! อยากให้คนอื่นมาเจอหรือไง!" ยังไงเด็กก็เป็นได้แค่เด็ก คนที่หวาดกลัวพอกันเมื่อต้องมาพบสถานการณ์แบบนี้ก็อดจะหงุดหงิดไม่ได้ เด็กชายสแกร์โครวร้องตวาดออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้เด็กหญิงคนนั้นตัวสั่นมากกว่าเดิม



      "ฮึ่กก ... ก็ชั้นกลัว" ร่างเล็กๆสั่นไหว ใบหน้ากลมป้อมมุดลงไปกับเข่าแล้วสั่นกึกๆ "เราหนีออกมา ถ้าพวกเขาจับได้แล้วเราจะทำยังไง จะทำยังไง.."



       "ข้า..." สีหน้าแววตาของเด็กชายเปลี่ยนไป จากหงุดหงิดเป็นกังวลไม่น้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำก้มไปมองคนที่ร้องไห้อยู่ ฝ่ามือแห้งแตกไม่ต่างกันเอื้อมไปวางลงบนเส้นผมสีน้ำตาล ลูบอย่างเก้ๆกังๆแล้วรีบบอก "ไม่เป็นไร เราต้องหนีได้แน่ เราเกือบจะรอดแล้วนี่นา เดี๋ยวก็ถึงท่าเรือแล้ว"



      "แต่ถ้าพวกเขาจับได้..." เอวาเงยใบหน้ากลมป้อมมาสบตา เสียงสะอื้นยังดังอยุ่ในลำคอเป็นระยะ ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น



      "ถ้ากลัวแบบนั้นแล้วจะหนีออกมาทำไม เจ้าก็อยู่สุขสบายในหอนางโลมไปสิ!" สแกร์โครวบ่นใส่เด็กหญิงตรงหน้าอย่างหงุดหงิด มือที่ลูบปลอบอย่างเก้ๆกังๆผละออกมาอย่างไม่พอใจ 
"อยากเป็นทาสนักจะออกมาทำไม กล้าออกมาแล้วมาร้องห่มร้องไห้กลัว มันช้าไปแล้ว"



      ฟังเด็กชายที่โตกว่าตัวเธอไม่มากแต่บัดนี้เป็นดั่งที่พึ่งเดียวแล้วร่างของเอวาก็สั่นน้อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่พูดจาโตกว่าตัว ใบหน้าของเด็กหญิงบิดเบี้ยวมากไปกว่าเดิมแล้วเริ่มชี้หน้า "เจ้าก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ เจ้าก็หนีออกมาจากยัยป้าคนนั้นเหมือนกันนี่ มาว่าข้าทำไมล่ะ ข้า.."น้ำเสียงเล็กขาดหายไปเริ่มกลายเป็นเสียงสะอื้น 



    "ข้าก็กลัวไม่ต่างจากเจ้า แต่จะทำยังไงได้ มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่" ตอบเด็กหญิงทันทีพลางเอื้อมมือปิดปากเล็กไว้ "ชู่ว...ฟังสิ ระหว่างที่เราเถียงกัน เสียงข้างนอกเงียบไปแล้ว"



     คำพูดนั้นทำให้ความเงียบเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ร่างที่สั่นไหวของเด็กทั้งสองคนเริ่มเป็นปกติ ดวงตาสองคู่เริ่มวาววับยามได้สบตากัน สรรพเสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกผู้ใหญ่น่ากลัวจางหายไปแล้วดั่งว่า ความเงียบนั้นเป็นดั่งคำอวยพรชั้นดีจากสรวงสวรรค์ เสียงหัวใจของพวกเขาเต้นตึกตัก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้าง



   ไม่เสียแรง..ไม่เสียแรงที่หนีออกมา ในที่สุดพวกเขาก็หนีออกมาได้แล้ว หนีจากพวกผู้ใหญ่ใจร้ายและอนาคตที่แสนมืดมน หลบหลีกจากโลกที่มีเพียงเสียงตวาดและโซ่ตรวนรายล้อมรอบกาย อิสระที่ต่างใฝ่หา กำลังอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง



      ดวงตาสองคู่วาววับ ความบาดหมางการวิวาทเมื่อครู่ต่างจากหายไปจากความทรงจำ ฝ่ามือของพวกเขาบีบกระชับกันแน่น ต่างจ้องมองไปยังแสงสว่างเล็กๆที่เล้ดรอดจากรอยของเศษผ้าราวกับเป็นความหวัง



      "จะไปแล้วนะ.." สแกร์โครวกระซิบเสียงเบา แววตาสีเขียววาวับ



      "อือ...." เด้กหญิงเอวารับคำเบาๆในลำคอ ใบหน้ากลมป้อมจ้องมองไปยังจุดเดียวกัน ก่อนจะหันไปหาคนข้างกายเงียบๆ "คะ..โครว ถ้าหาก.."



       "หากอะไรล่ะ?" สแกร์โครวหันมาสบตา ขมวดคิ้วใส่คนทำลายบรรยากาศ



       "ถ้าหากเราถูกตามกลับไปล่ะ"



       "ไม่มีหรอกน่า"



       "ถ้าพวกเขามาเอาเราไปอีกล่ะ"



        "ไม่หรอก"



         "ถ้าข้าหรือเจ้าถูกพาตัวไปล่ะ"



        "ก็บอกว่าไม่แล้วไง"



         "ถ้าเป็นแบบนั้นมารับข้าด้วยนะ.."



         "รู้แล้ว!" ตาสีเขียวหันขวับมาจ้อง สีหน้าหงุดหงิด "ถ้าเจ้าถูกจับข้าจะไปช่วย จับมาสิบครั้งก็ช่วยสิบครั้ง จับบอีกก็ช่วยอีก แค่นั้นพอใจไหม เลิกกลัวได้แล้ว"



         " จริงนะ เจ้าสัญญาแล้วนะ" ดวงตาแดงก่ำพราวระยับ แววตาเด็กหญิงเริ่มสดใส



         "เออ.. จะไปกันได้รึยัง" สแกร์โครวบ่น ไม่สนใจสบตาคู่นั้น ตอนนี้ความสนใจของเขามีแต่แสงสว่างตรงหน้า อิสระภาพ และชีวิตที่เป็นของตัวเองเท่านั้น



         "อื้อ.." เอวาสุดหายใจลึกแล้วปาดน้ำตาบนใบหน้า บีบมือคนข้างตัวแน่นก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นที่ซ่อนตัวอยู่พร้อมๆกัน



  พรึ่บ




       แสงสว่างสาดจ้าทันทีที่ผ้าถูกเปิดออก ร่างของเด็กหญิงเด็กชายทั้งคู่ค่อยๆย่องออกมาจากเศษซากระเกะระกะและกองวัสดุ ขาทั้งสองคู่ก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ตรอกอีกฝ่างซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่จะไป เสียงลมทะเลดังเคล้าเสียงร้องของนกนางนวลและกลิ่นของเกลือที่ลอยมายิ่งทำให้หัวใจเต้นระรัวด้วยความยินดี



      ฝ่ามือที่จับกันไว้บีบแน่นกว่าเดิมอย่างตื่นเต้น แววตาสองคู่พราวระยับ หลังก้าวออกจากกองขยะขาก็พาให้วิ่งฉิวไปยังแสงสว่างเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ



     หัวใจเต้นระรัวด้วยความยินดี รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า สำนึกรู้บอกว่าใกล้แล้ว ใกล้แล้วที่จะมีอิสระ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวที่จะหลดพ้นจากกรงขังและได้ใช้ชีวิตอย่างตามใจ



   อีกนิดเดียวเท่านั้น!




     ซ่า..





   เสียงของบางอย่างดังขึ้น วัตถุที่มีลักษณะคล้ายตาข่ายถุกโยนลงมาครอบหัวเด็กทั้งสอง แหจับปลา..ของที่ไม่น่าจะใช้ได้บนบกคลุมกานศรีษะเด็กน้อยท่ามกลางเสียงหัวเราะและโห่ฮาราวกับขบขัน ของชายหนุ่มหลายนายที่ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ  



    ฝ่ามือที่จับกันผละออกมาดึงสิ่งที่คลุมตัวออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน สีหน้าของเด็กทั้งสองสับสนและหวาดหวั่นยิ่งนัก พวกผุ้ใหญ่ที่พวกเขาหวาดกลัวก้าวเข้ามาล้อมวงอย่างต่อเนื่อง เสียงสุนัขเห่าขรมปะปนเสียงหัวเราะขบขันยิ่งทำให้ความหวาดหวั่นปกคุลมจิตใจมากกว่าเดิม



    เอวาขยับตัวเข้าไปเกาะที่พึ่งเดียวของตนเองโดยอัติโนมัติ แน่นอนว่าสแกร์โครวก็เช่นเดียวกัน เด็กทั้งสองคนยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่านักล่า ผู้ที่ติดตามพวกตนมาจากแหล่งที่อยู่เดิมเพื่อมุ่งหมายจะเอาตัวกลับไป



    ทั้งที่..อีกนิดเดียวเท่านั้น




    แหจับปลาถูกดึงออก  ทันทีที่หลุดพ้นจากพันธนาการ พวกเขาทั้งคู่ก็ผวาหนี ทว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรในสภาพการณืนี้ เด็กหญิงถูกตะครุบกายไว้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงร้องคำรามของสุนัขดังขึ้นพร้อมกับเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของเด็กชายที่ถุกมันกัดเข้าที่ขาจนจมเขี้ยว




    "พวกแกนี่แสบนักนะ ไอ้เด็กเวร ทำข้าเสียเวลาจนต้องตามมาถึงเขตใต้ รับรองพวกมึงจะเจอบทลงโทษที่สาสมแน่นอน" เสียงคำรามที่ออกมาไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ เด็กทั้งสองรู้ดี ร่างของพวกเขาจึงสั่นระริกโดยอัตโนมัติ สแกร์โครวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมาท่ามกลางเสียงครางฮึ่มของสุนัขที่ยังไม่ยอมละคมเขี้ยว ไม่ต่างกับเด็กหญิงเอวาที่ถูกตบหน้าฉาดใหญ่จนร่างทรุดฮวบไปกองกับพื้น




     "เฮ้ย เบามือหน่อย นังผู้หญิงนั่นคนของหอนางโลม ส่วนไอ้เด็กนี่เป็นของนังแคทซี่มัน" คนที่เหมือนหัวโจกเอ่ยปราม กระนั้นเจ้าตัวก็ยังหัวเราะสนุกสนาน



    "ถุย หน้าตาอย่างนังนี่จะขายได้เท่าไหร่กัน เป็นได้แต่อีตัวชั้นต่ำล่ะไม่ว่า" หนึ่งในนั้นรั้งแขนเด็กหญิงไว้ จ้องมองร่างเล็กด้วยแววตาขบขัน "แต่ก็เหมาะกันดีละนะ หึ"



     "ปล่อยข้านะ! ปล่อยย!" เอวาดิ้นพลางร้องแหว น้ำใสไหลอาบแก้มอย่างหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นระริก หัวใจพังทลายด้วยความผิดหวังที่ถูกฉุดคร่าความหวังไปต่อหน้าตาต่ออย่างโหดร้ายทารุณ ร่างของเด็กหญิงหันไปหาเพื่อนที่ร่วมเป้นร่วมตายมาด้วยกัน และคนที่เป้นดั่งที่พึ่งแห่งเดียวของเธอในยามนี้ "โครว ช่วยข้าด้วย โครว!!"



   เพี๊ยะ




      "หุบปากซะนังเด็กนี่ อยากเจอดีรึไงวะ" เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังพร้อมกับเสียงคู่คำราม ร่างของเด็กน้อยปลิวหวือไปบนไหล่ผู้ใหญ่ตัวโตทันทีที่จบคำ ใบหน้าเล็กถูกฟาดเต็มแรงจนเกือบครึ่งแดงเห่อ ขระที่อีกฝ่าย เสียงครวญครางของเด็กชายก็ยังไม่จบลง ร่างนั้นถูกสุนัขล่าเนื้อสองตัวรุมขบกันจนเสียงร้องแว่วดังไม่ขาดสาย



    ดวงตาสีเขียวที่เจ้าตัวพยายามปกป้องจากคมเขี้ยวของสุนัขตัวเขื่องเงยไปมองเด็กสาวที่ถูกพาตัวไปอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวที่สะดุ้งสั่นเป็นพักๆเพราะคมเขี้ยวนั้นพยายามพยุงตัวขึ้นอย่างยากเย็น แต่ก็เป็นไปได้ยากนักเมื่อมีบรรดาชายฉกรรจ์อยู่โดยรอบพร้อมกับความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อฝังอยู่ทั่วกาย



   เฮือกสุดท้าย ก่อนสติจะปลาสไป ดวงตาสองคู่สบกันเงียบๆ ร่างของเด็กหญิงที่ถูกจับพาดบ่าหันมาทางเขา ใบหน้าอาบน้ำตานั้นกรีดร้อง ตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างหมดสิ้นหนทาง 



   เสียงสะอื้นยังดังเหมือนอยู่ข้างหู ท่ามกลางคมเขี้ยวของสุนัขและเสียงหัวเราะเยาะของผู้คนรอบกาย เสียงเล็กๆนั้นกรีดร้องร่ำไห้ออกมาดังลั่น



   "ช่วยฉันด้วย โครว นายต้องมาช่วยฉันนะ มารับฉันกลับไปนะ! โครว โครว!!..."








   "โครว.."




เฮือก!!



    ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง เหงื่อซึมชื้นไหลออกมาจากขมับไม่ขาดสาย ความงวยงงพาดผ่านเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไปพร้อมกับความเคยคุ้น เพดานห้องใต้หลังคาสีทึบทึม กลิ่นอับชื้นปนกลิ่นฝน และแสงสว่างที่สาดมาจากหน้าต่างซึ่งมีซี่เหล็กสีเข้มพาดตรึง เจ้าของน้ำเสียงเรียบเย็นและ..น้ำหนักของโซ่ที่ล่ามเเขนขา ทั้งหมดนั้นกำลังเอ่ยบอกเงียบๆว่าตนเองอยู่ที่ไหน



  เขากลับมาที่เดิม..



     สแกร์โครวหรุบตาลงช้าๆ ขยับกายคลายความเมื่อยขบเงียบๆ  ท่ามกลางการจับจ้องของอีกหนึ่งคนที่เขาเคยคุ้น หญิงวัยกลางคนใบหน้าสะสวย นัยน์ตาสีแดงของหล่อนวาบขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาพยุงตัวเองให้พิงลงบนเตียงได้อย่างง่ายดาย ร่องรอยบาดเจ็บทั่วกายได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ หากแววตาที่เคยแสดงอารมณ์กลับค่อยนิ่งเฉย เขาก้มหน้าเงียบ แกะผ้าพันแผลของตัวเองออกพลางจ้องมองท่อนแขนที่ปราศจากรอยแผลของตน แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่าร่างของหญิงคนนั้นขยับเข้ามาใกล้ หล่อนเอนกายเข้ามาหา วางแขนลงบนไหล่พลางเอ่ยถามเบาๆ



    “หายดีแล้วสินะ...”ปลายนิ้วเรียวไล้ผิวแก้มเบาๆอย่างสเน่หา “เด็กน้อยของข้ายังไร้รอยขีดข่วนเช่นเดิม”



    “..............”



    “แต่คราวนี้เจ็บน่าดูเลยสิ..เขี้ยวของสุนัขนี่มันฝังลึกน่าดูเลยนะ เจ้าพวกนั้นก็รุนแรงกันเหลือเกิน กล้ามาทำร้ายหุ่นไล่กาที่น่ารักของข้า....แต่ช่วยไม่ได้ เจ้าหนีข้าไปเองนี่นา..”



    "..กล้าหนีข้าไปเหรอ โครว"



    "........."



    "หนีข้าออกไปพร้อมกับเด็กคนนึงสินะ.."



   ".........."



    "ข้าถามว่าหนีข้าไปเหรอ ตอบมา!!" น้ำเสียงที่เคยนิ่งเย็นแปรเป็นเกรี้ยวกราด ปลายนิ้วที่ไล้ผิวกายเมื่อครู่อย่างอ่อนโยนกลับออกแรงผลักให้ร่างของเด็กชายผงะลงบนเตียงอีกครั้ง ดวงตาสีแดงสดฉายแววคลุ้มคลั่งจ้องมองตัวเขา ริมฝีปากบางเฉียบแสยะยิ้ม..เป็นรอยยิ้มที่บ้าคลั่งและน่าหวาดหวั่นเกินบรรยาย



    "กล้าหนีข้าไป หนีข้าไปกับนังเด็กนั่น!!" ฝ่ามือเรียวจงใจกดลงบนลำคอของเขาเต็มแรง"เจ้ากล้าทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ถ้าข้าไม่ไปเก็บเจ้ามาเลี้ยงเจ้าก็ตายกลางป่าไปแล้ว ทำไมฝืนคำสั่งข้า ทำไมไม่ทำตามคำสั่งข้า สแกร์โครว ไอ้หุ่นไล่กาโสโครก!"



   เสียงก่นด่าดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือเรียวที่ผละออกแล้วฟาดลงบนใบหน้าเต็มแรง  เสียงเนื้อกระทบผิวแก้มดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพักใหญ่คละเคล้าเสียงกราดด่าและเสียงพร่ำพรรณาฟังไม่ได้ศัพท์ ใบหน้าเล็กเจ็บจนชาจากฝ่ามือของผู้หญิงตรงหน้าสะบัดไปมาตามแรงตบ ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย ช่างแตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนเหลือคณา



    "แกหนีข้าไป แกกล้าหนีข้าไป!!" เสียงกรีดร้องนั้นยังคงดังอยู่แม้ฝ่ามือที่ฟาดลงไปจะหยุดลงแล้วเมื่อเห็นรอยเลือดซึมออกมาจากริมฝีปากเด็กชาย ร่างอรชรของแม่ม่ายสาวผละออกไปหลังจากหอบแรงด้วยความโกรธ หล่อนเดินไปถือบางสิ่งมาในมือ ขณะที่ริมฝีปากพึมพัมบางอย่างราวกับเพ้อคลั่ง



    ดวงตาสีเขียวกระพริบเปิดขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดบนใบหน้าอันแสนชาชินทำให้แววตาไม่สะท้านไหว สแกร์โครวจ้องมองเพดานเงียบๆขณะที่ความคิดเหม่อลอยไปถึงการคาดเดาว่าครั้งนี้มันจะจบลงเมื่อไหร่ แรงบีบรัดลำคออันมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัวก้ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวอีกครั้ง



    "ข้าอยู่ตรงนี้ยังจะกล้าใจลอยอีกเหรอ โครว..สแกร์โครว แกกล้าดียังไง!!" เสียงหวีดร้องนั้นดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางหูที่อึ้ออึงเพราะอากาศถูกตัดขาด ฝ่ามือบ้างกดทับบ้างปล่อยออกสร้างควงามทรมารยิ่งนัก "ข้าเลี้ยงดูแกมาจนถึงป่านนี้ ทำไมถึงยังไม่สำนึกบุญคุณ แกหนีข้าไปทำไม!!"



    ดวงตาสีแดงที่ฉายแววเพ้อคลั่งก้มมาหาพร้อมกับริมฝีปากที่ทาบทับลงช้าๆ รสชาติเปียกชื้นของจูบที่ถูกปรนเปรอไม่ได้ทำให้ใบหน้าของผู้ได้รับแปรเปลี่ยนไป มันยังคงนิ่ง นิ่งอย่างที่ทำให้คนมองสั่นไปถึงหัวใจ "..กล้าหนีข้าไปไม่พอยังไปกับเด็กนั่ง นังเด็กแพศยานั่น..แกรักมันงั้นเหรอโครวถึงได้หนีไปกับมัน ตอบข้ามาซิ ตอบมา!!"



    ถูกเขย่าหัวสั่นหัวคลอน คนถูกกระทำจึงได้ส่ายหัวช้าๆ  แม้จะได้คำตอบที่พอใจ แต่ร่างของหญิงสาวผู้นั้นหาได้ยอมหยุด หล่อนยังคงหัวเราะราวกับบ้าคลั่ง ดวงตาสีแดงวาววับนั้นคล้ายจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดที่เด็กชายไม่มีวันเข้าใจ



     " ใช่ ดีมาก.." ปลายนิ้วเรียวลูบใบหน้าของเขาเงียบๆไปจนถึงไฝใต้ตาสีเขียวสดทั้งสามเม็ดแล้วไล้เบาๆ "แกไม่เป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม ในเมื่อแกรักข้านี่นา..ใช่ไหมโครว?"



     ใบหน้าสะสวยก้มลงแนบชิด ริมฝีปากแตะไล่ลงบนใบหู หล่อนหวังจะได้ฟังคำตอบที่พึงใจอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันไม่ใช่..



   หุ่นไล่กา..ทาส...เด็กในอาณัติ เด็กชายที่หล่อนเก็บกักไว้เป็นสมบัติของตัวเองไม่มีการตอบรับใดแม้แต่สีหน้าที่เปลี่ยนแปลง ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเรียบกริบไร้อารมณ์ใด ...เงียบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวในอก ความไม่เข้าใจปรากฏชัดเจนในแววตาถึงคำถามที่หล่อนเอ่ย



   อีกแล้ว..เอาอีกแล้ว..เจ้าเด็กคนนี้ คนๆนี้ ทำไมถึงได้..



    "ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า!!!!" เสียงหวีดร้องดังขึ้นแสบหูจนต้องนิ่วหน้า ดวงตาสีเขียวจ้องมองคนพูดที่บัดนี้กำลังมีสีหน้าหงุดหงิด โกรธเคืองอย่างประหลาดใจ สแกร์โครวขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ และไม่เข้าใจเช่นในทุกๆครั้งว่าทำไมคนๆนี้ถึงได้หงุดหงิด โมโหจนแทบบ้าอย่างนั้น



   เขาทำตามคำสั่ง..ทำตามที่บางบอกอย่างเคร่งครัด หลังจากถูกพาตัวกลับมา ก็เพื่อจะไม่ถูกลงโทษและทำร้ายอีก



   คำสั่ง..ถ้อยคำกำชับที่ชัดเจนของผู้หญิงคนนี้กับชายที่เก็บเขามาเลี้ยงดูนั้นฝังลงไปในจิตใจพร้อมๆกับชื่อที่ถูกเรียกขาน



   ฟังคำสั่ง..ถ้าฟังแล้วจะไม่เจ็บตัว ไม่ถูกลงโทษ



   ทำตามคำสั่ง..ถ้าทำตามแล้วจะได้รับความพอใจ 



   เป็นหุ่นไล่กา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องรู้สึกอะไร แค่ทำตามไปก็พอ





       เมื่อวานเขาทำตามใจตนเองและได้รับผลตอบแทนที่สาสมมาแล้ว ความหวังที่ถูกช่วงชิง ความเจ็บปวดจากทั้งร่างกายและจิตใจ ความสิ้นหวังที่ถูกมอบให้โดยกลุ่มคนที่มีอำนาจและกำลังมากกว่า..ทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเจอทำให้ความกล้าที่จะหลีกหนีไปจากที่แห่งนี้ถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง สำนึกรู้บอกให้เขายอมรับชะตากรรม ดังนั้น..ในวันนี้สิ่งที่ต้องทำควรจะเป็นการทำตามคำสั่งและเป็นหุ่นไล่กาอย่างที่ถูกบอกไว้ไม่ใช่หรือ แล้วทำไม..ถึงต้องไม่พอใจขนาดนี้?




    ...ทำไมผู้หญิงคนนี้ คนที่สั่งเขาให้ไม่ต้องรู้สึก จึงต้องการให้เขา"รู้สึก" และ "รัก" ในตัวหล่อน



     ความขัดแย้งของคำสั่งและการกระทำทำให้เขาได้แต่นิ่ง ไม่อาจพูดหรือตอบโต้อะไรด้วยหวังว่าความเจ็บปวดที่ร่างกายพบเจอ และการถูกกักขังไว้เยี่ยงสัตว์เลี้ยงจะจบลง



  สแกร์โครวคิดแบบนั้น..แต่ดูเหมือนหญิงส่าวตรงหน้าจะไม่ใช่



    ทันทีที่หล่อนรู้ว่าไม่มีคำตอบ ไม่มีคำใดออกจากปากของเด็กชายวัยสิบสองตรงหน้า ดวงตาสีแดงที่วาววับก็สั่นระริก หัวใจที่กรีดร้องด้วยความเจ้บแค้นปนโกรธเคืองยิ่งบ้าคลั่ง เสียงหวีดร้องดังออกมาราวกับเจ็บปวดแสนสาหัสก่อนที่จะจรดฝ่ามือลงไปบนลำคอเด็กชายแล้วออกแรงกดพลางเขย่าสุดแรง



   ดวงตาสีแดงวาววับ ปะปนด้วยความเจ็บปวดและเพ้อคลั่ง อนุสติอันเรือนลางยังกระซิบบอกอย่างมั่นคงว่าการกระทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว สมควรแล้วที่จะเป็น



  ...คนที่กล้าเมินเฉยต่อความรักของหล่อน เด็กคนนึง...คนที่หล่อนสู้อุตส่าห์รักและเอ็นดูมันจนคิดเอาเป็นคู่ชีวิต ทำไมถึงได้เมินเฉย ทำไมถึงได้เย็นชาและกล้าที่จะไม่ตอบรับความรักของหล่อนขนาดนี้




   "แกต้องฟังคำสั่งชั้นสิ แกต้องฟังชั้นไม่ใช่รึไง แกต้องรักฉันไม่ใช่รึไง!!" เสียงหวีดร้องราวกับบ้าคลั่งดังขึ้นไม่ขาดหู แรงกดที่ลำคอ ย้ำซ้ำไม่หยุดทำให้ดวงตาพร่าเลือน  แขนขาที่ถูกล่ามด้วยโซ่ขนาดใหญ่สั่นไหวไปมาและกำลังพยายามดึงมือที่คิดจะคร่าชีวิตออกตามสัญชาติญาณ



   ในยามที่สติใกล้จะดับลงเพราะไม่มีอากาศหายใจ ใบหน้าบิดเบี้ยวและดวงตาสีเขียวเห็นได้ชัดถึงสีหน้าคลุ้มคลั่งของผู้หญิงตรงหน้า สแกร์โครวพยายามเอื้อมมือดึงออก ท่ามกลางเสียงเรียกพร่ำของผู้หญิงคนนั้น



   คำถามของหล่อนยังดำก้องในหู ทำไม..ทำไมถึงไม่รัก ทำไม...ทำไม


   คำถามของเขาก็ยังคงดังชึ้น


   ทำไม........



   ทำไมถึงได้ต้องการนักหนากัน?





   "แค่กๆๆๆ" เสียงสำลักไอดังขึ้น สติที่ใกล้จะดับลงกลับมาอีกครั้งเมื่อแรงกดนั้นคลายออก สแกร์โครวสูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกรุมตะกรามตามสัญชาติญาณ เนื้อตั่วสั่นไหวด้วยอาการไออย่างรุนแรง อากาศที่พุ่งพรวดเข้าไปทำให้หูอื้อ น้ำตาไหลโดยอัติโนมัติ



   ดวงตาสีเขียวเปิดขึ้นมองผ่านม่านน้ำตาเลือนรางไปที่ร่างของผู้หญิงคนนั้น...เจ้านาย อีกนัยหนึ่งคือเจ้าของชีวิตเดินไปที่มุมห้อง เขานึกดีใจว่าการทรมารของวันนี้จะจบลงแล้ว ทว่าเมื่อร่างนั้นกลับมาอีกครั้งพร้อมกับของบางสิ่งในมือนั่นทำให้เขานิ่งงัน



    ปืนที่ทำมาจากเนื้อไม้ผสมโลหะในมือเรียวส่องประกายวาววับยามต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น ร่างอรชรปีนขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง หล่อนแสยะยิ้ม สบตาเขาด้วยสีหน้าราวกับบรรลุแล้วว่าจะใช้สิ่งใดทำให้ความต้องการของตัวเองถูกตอบสนองได้



    เสียงหัวเราะรื่นรมย์ดังขึ้นพร้อมกับปลายกระบอกที่ถูกจรดลงบนขมับ นิ้วเรียวไล้ผิวแก้มพร้อมกับยิ้มหวานอย่างพึงใจ แววตา..ดวงตาสีแดงคู่นั้นหวานฉ่ำ แต่ความคลุ้มคลั่งและวิปริตที่สะท้อนออกมาทำให้ผู้มองเบิกตากว้าง



  สัญชาติญาณกำลังกระซิบบอกว่ามีบางสิ่ง..ผิดปกติจากทุกครั้ง



     "รู้จักไหมว่านี่อะไร...โครว" ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยถามพลางไล้ปลายกระบอกลงไปยังไหล่ขวาพลางกดลงเบาๆ




  ปัง!




      เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดปนตระหนกดังขึ้นจากริมฝีปาก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บทันทีที่ร่างของตนโดนประทุษร้าย สแกร์โครวจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตระหนก รู้ได้อย่างชัดเจนว่าคราวนี้หล่อนตั้งใจจะปลิดชีพตัวเองจริงๆ ไหล่ขวาที่สั่นระริกด้วยความเจ็บปวดกระตุ้นเตือนและตอกย้ำให้รู้ว่าจะนิ่งและปล่อยให้ถูกทำร้ายต่อไปไม่ได้



   แต่จะทำยังไง ทำอย่างไร ในเมื่อทั้งแขนขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ที่ยาวไม่พอจะออกไปจากห้องใต้หลังคาแคบๆนี้เสียด้วยซ้ำ



     "เจ็บไหมโครว..เจ็บรึเปล่า?"ด้วยตาสีแดงสดของผู้ถามวาววับ ริมฝีปากแสยยิ้ม "เจ้าเจ็บไหม เจ็บ..และรู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเป็นรึยัง!!"



        ฝ่ามือตะปบเข้าที่คอเสื้อแล้วเขย่าโดยแรง ใบหน้าสะสวยนั้นโน้มเข้ามาใกล้ กลาวพล่ามระบายอารมณ์อย่างรุนแรง "..ข้า...แคทซี่..แคทสิก้า..ผู้หญิงที่ดูแลเจ้ามาตั้งแต่เล็ก คนที่เก็บเจ้ามาเลี้ยง คนที่เอาหุ่นไล่กาทื่อๆอย่างเจ้ามาชุบเลี้ยง ข้าที่คอยดูแล ข้าที่ทั้งสวยและยังสาว คนที่จะเลือกใครในละแวกนี้มาเป็นสามีก็ได้ แต่กลับมาหลงรักเจ้า! "



       "..ข้าทำทุกอย่าง ทำกระทั่งวางยาให้สามีตัวเองตายไปซะ..นั่นเพราะข้ารักเจ้า และอยากให้เจ้าสุขสบาย..อยู่กับข้าที่นี่.."ปลายนิ้วไล้ใบหน้าเรียวเบาๆ ส่งเสียงหวานราวกับกระซิบก่อนแววตาคู่นั้นจะวาววับขึ้นอีกครั้ง "แล้วดูสิ ดูสิ่งที่เจ้าทำกับข้า เจ้าเมินเฉย เจ้าเฉยชา เจ้าไม่รักข้า เจ้าไม่ตอบรับความรู้สึกข้า!!" 



       เสียงหวีดร้องนั้นดังขึ้นราวกับเจ้าตัวไม่มีสติไปเสียแล้วแคทสิก้าหยิบปืนกระบอกนั้นจ่อลงบนขมับของเด็กชายตรงหน้า แววตาอันบ้าคลั่งนั้นยิ่งทุรนทุรายยิ่งกว่าเดิม 



       "ไม่ตอบรับข้าไม่พอ เจ้ายังหนีไป...เจ้าหนีข้าไป..หนีเข้าไปกับนังเด็กนั่น นังนั่นมันมีอะไรดีนักหนา!!" เสียงพึมพัมนั้นแปรเป็นกรีดร้องก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ไม่ว่าเจ้าจะรักหรือไม่ จะชอบนางไหม แต่จำไว้เลยโครว...จำไว้ ว่าการกระทำอันโง่เง่าของพวกเจ้าทำให้เรื่องมันต้องกลายเป็นแบบนี้.."



      แคทสิก้าก้มหน้าลงมาสบดวงตาสีเขียว แววตาของหล่อนแสดงความพึงใจลึกๆเมื่อพบว่ามันปรากฏความหวาดหวั่นขึ้นมา จึงได้เอ่ยพร่ำต่อไปด้วยความยินดี "เพราะเจ้าหนีไป...เจ้าพานังเด็กนั่นหนีไป..รอยแผลที่ไหล่นั่น คือโทษของเจ้า.."



       "แผลเจ้ามันหายง่ายก็จริง..แต่กระสุนนั่นมันจะฝังลงไปบนไหล่เจ้าตลอดชีวิต" เสียงหัวเราะของแคทสิก้าดังขึ้นเบาๆพลางเอื้อมมือไปกดน้ำรอยแผลอย่างจงใจ หล่อนแสยะยิ้มเมื่อผู้ถูกกระทำสะดุ้งแล้วส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด




       "ส่วนนังเด็กนั่นที่กล้าล่อลวงเจ้า..มันก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว น่าดีใจแทนมันไหมโครว นังเด็กในหอนางโลมนั่น...มันถูกพวกที่ไปจับเจ้ามารุมข่มขืนนับสิบๆคนไงล่ะ!!!"




      ถ้อยคำที่ดังออกมาจากริมฝีปากสีสดทำให้ความเจ็บปวดจากรอยแผลที่ไหล่พลันถูกละเลย ใบหน้าของเด็กชายแสดงความตกใจออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างกับถ้อยคำอันโหดร้ายที่ได้รับรู้  ความทรงจำยามที่ถูกกรีดร้องเรียกชื่อด้วยน้ำตายังคงชัดเจนราวกับเกิดขึ้นตรงหน้า



   เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนั้น..กับ..




    "โอ๊ย!!"





     "ทำหน้าแบบนั้น เจ้าเป็นห่วงมันงั้นเหรอ!!"เสียงหวีดร้องดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับความเจ็บปวดที่ไหล่ขวาทำให้ร่างกระตุกเฮือก ปลายเล็บที่จิกลงไปบนรอยแผลอย่างรุนแรงนั้นทำให้ความเจ็บปวดแล่นวาบ



      "ห่วงมันงั้นสินะ เจ้าสนใจนังเด็กแพศยานั่นจริงๆใช่ไหม!" เสียงตะโกนยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสกร์โครวเงยหน้าสบตาสีแดงคู่นั้นท่ามกลางกริยาอาการอันบ้าคลั่งราวกับไม่มีสติและเสียงพร่ำพูดของแคทสิก้า ความเจ็วปวดปะปนกับความไม่พอใจและความบ้าคลั่งที่ถูกกดทับมานานค่อยๆถูกทำลายลงไปด้วยถ้อยคำน้ำเสียงเหล่านั้น



    ดวงตาสีเขียวของเขาวาววับ จ้องมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด..



     แคทสิก้า..



    คนที่เก็บเขามา แม่เลี้ยง เจ้านาย เจ้าชีวิต หรืออะไรก็แล้วแต่คนนั้น คนที่เคยพร่ำสอนว่าอย่างคิด อย่ารู้สึก อย่าต่อต้านใดๆ จงเป็นหุ่นไล่กาเชื่องๆตัวหนึ่งที่ทำตามคำสั่ง จงเป็นแบบนั้นเพื่อจะมีชีวิตต่อไป



    คนที่พูดแบบนั้น กับคนที่กำลังหวีดร้อง พร่ำบ่น และด่าทอเขาไม่หยุดตรงนี้ ...เปลี่ยนไป



   หล่อนไม่ใช่แคทสิก้า



   หล่อนคือคนบ้า.. คนบ้าที่เอาแต่พร่ำคำว่ารักซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าสังเวชนัก



   คนบ้าที่ทำลายชีวิตคนอื่น..และคนบ้า ที่กำลังจะฆ่าเขา..



      "สแกร์โครว..."ดวงตาสีแดงก่ำ วาววับซ้ำยังปวีความบ้าคลั่งปะปนกับความรวดร้าวจ้องมองดวงตาสีเขียวสด รอยยิ้มหวานยะเยือกและปลายกระบอกปืนที่ยังคงอยู่ที่เดิมเป็นดั่งสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิด มือเรียวแตะลงบนลำคอกดย้ำลงบนร่องรอยก่อนหน้าที่แปรเป็นสีเข้ม พลางส่งเสียงกระซิบ "บอกข้ามาสิ..สแกร์โครว..เด็กน้อยของข้า..ของๆข้า"




     "บอกข้ามาว่าเจ้ารักข้า...มิฉะนั้น ข้าจะลั่นกระสุนปืนนัดนี้ฝังลงไปในหัวเจ้า!"





        สิ้นคำ เสียงขึ้นไกก็ดังขึ้นพร้อมกับแรงกดที่คอ แคทสิก้าแสยะยิ้ม หล่อนยิ้มเยี่ยงผู้ชนะ ยิ้มเยี่ยงคนที่สามารถคว้าสิ่งที่ต้องการมาได้..



    ดวงตาสีแดงสดจับจ้องไปที่มบหน้าของเด็กชายวัยสิบสอง ดวงตาสีเขียวมรกตที่หล่อนหลงไหลอยากให้สะท้อนเงาของตัวเองเหลือคณา ดวงตาคู่นั้นจากที่เคยเฉยเมยกลับค่อยวาววับ มันจ้องมองมาอย่างแน่วแน่และจริงจังเป็นครั้งแรก



    แววตาคู่นั้นทำให้หัวใจของหล่อนสั่นไหวจนต้องเผลอปล่อยมือที่กดลำคอนั้นออกไป เมื่อเขาขยับกายลุกขึ้นนั่งและจ้องมองมาพร้อมกับเอื้อมมือมาทาบหลังมือที่กำลังถืออาวุธสังหารอย่างแผ่วเบา..



     ริมฝีปากคู่นั้นค่อยๆขยับ มันดังขึ้นพร้อมกับมือที่ค่อยๆดันอาวุธปืนออกจากขมับของตัวเอง..ทั้งที่น่าระแวง ทว่าหล่อนไม่คิดจะสนใจ ดวงตาสีเขียวสดที่มีเงาสะท้อนของตนปรากกอยู่ แววตาวาววับจริงจังที่ไม่เคยเห็น และเสียงที่ดังออกมานั้นทำให้ทุกอย่างถูกลืมเลือนไปสิ้น..




    "แคทซี่....."





   ปัง!!





      ร่างอรชรที่ทาบทับอยู่ผงะหงาย ดวงตาสีแดงเลื่อนลอยราวกับสงสัยสิ่งที่เกิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าสวยยังคงเต็มไปด้วยความสุข ช่างดูไม่เข้ากันกับรูโหว่และรอยเลือดจากหน้าผากมน แคทสิก้ายิ้ม..หล่อนไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าคนที่หล่อนกำลังกรีดร้องพร่ำขอความรักนั้นได้จรดปืนลงบนหน้าผากของตนและลั่นไกสังหารอย่างไม่ลังเลเลยแม้เพียงเสี้ยวคิด



     ใบหน้าของผู้กระทำนิ่งเฉย แววตาที่เคยวาววับเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่ความหวั่นกลัวหรือตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป รอยเลือดที่กระเซ็นใส่ใบหน้าถูกปาดเช็ดออกเงียบๆด้วยผ้าห่มบนตัว สแกร์โครวจ้องมองปืนในมือ ฝ่ามืออีกข้างควานหากุญแจที่ซ่อนอยู่ในตัวอีกฝ่าย ไม่นานก็พบและไขโซ่กุญแจมือที่พันธนาการตัวเองไว้อย่างง่ายดาย



     ลุกขึ้นยืนบนพื้น จ้องมองเบื้องนอกผ่านทิวทัศน์ของห้องใต้หลังคาที่เคยคุ้นเงียบๆ ยามเย็น..อากาศหนาว หิมะตก..แต่ทว่าแม้จะตกมาเพียงใด หิมะก็คงไม่อาจดับไฟได้..




     เก็บปืนไว้กับตัวพลางออกแรงลากร่างไร้ชีวิตของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าไปชั้นล่าง ค้นของมีค่าในบ้านและนำไฟจากเตาผิงมาเป็นเชื้อจุดไว้รอบบ้าน ไม่นาน..อาคารหลังนั้นก็ค่อยๆลุกไหม้ เพลิงค่อยโหมกระหน่ำท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย สแกร์โครวยืนจ้องมองที่ๆตนเคยอยู่มาสิบกว่าปีอย่างเมินเฉย เขามองเห็นใบหน้าของใครหลายคนที่ชะโงกข้ามหน้าต่างมาเมียงมอง ทว่าเมื่อเพื่อนบ้านเหล่านั้นจ้องสบตา เขาก็เพียงยิ้มกลับอย่างทุกครั้ง แล้วคนเหล่านั้นต่างก็หลบสายตาจากไป 



  ร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบสองเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ก้าวออกมาอย่างไม่หวั่นว่าจะถูกทำร้ายหรือถุกจับกุมแต่อย่างใด



   เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด



   แคทสิก้าเป็นคนบ้่า สิ่งที่เขาทำก็แค่กำจัดคนบ้า..



  ...น่าเสียดายด้วยซ้ำที่ตัวเองลงมือช้าเกินไป




      จ้องมือปืนในมือพลางเก็บไว้กับห่อสัมภาระ หิมะที่ตกลงมาบนผิวเนื้อทำให้รู้ว่าลืมหยิบเสื้อคลุมมาด้วย และร่องรอยความเจ็บปวดตรงไหล่ขวา ทำให้นึกขึ้นได้อีกอย่างว่ายังไม่ได้ทำแผล..



    แต่ฝีเท้าของเขายังคงย่ำลงไปเงียบๆ ก้าวออกไปจากที่แห่งนั้น ปราถนาจะออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อหลบหนีจากสถานที่อันกักขังอิสระภาพของตนเอง ก้าวออกไป แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหนก็ตาม



     ในหัวเขาคิดถึงเด็กคนนั้น...เอวา...ทว่าสแกร์โครวก็รู้ ว่าตัวเองนั้นไร้กำลังเกินกว่าจะทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวเองนั้นไม่อาจจะฝืนยืนบนโลกของผู้ใหญ่ที่ใช้ความแข็งแกร่งเป็นตัวกำหนด และชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นช่างแสนน่าเศร้า..แต่เอวา..ก็ยังเป็นเพียงคนอื่นอยู่ดี



 ....ไม่มีใครจะรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นได้




     เด็กชายรับรู้ความจริงนั้นด้วยรอยยิ้มเศร้า เหม่อมองมานานจนกระทั่งมองเห็นปลายเท้าของใครสักคนยืนอยู่ตรงหน้า เขาเผลอขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างขัดใจ




     ดวงตาสีเขียวหันไปมองเด็กหนุ่มที่โตกว่าไม่มาก เจ้าของผมสีขาวหม่น ดวงตาสีม่วง และผิวขาวซีดกำลังยืนยิ้มให้กลางหิมะพลางสบตาอย่างอาดูร




มือนั้นเอื้อมมาที่แก้ม น่าแปลกที่เขาไม่หลบ




  "...ตรงนี้เปื้อนเลือดแหนะ แถมตรงไหล่ก็มีแผล ไปทำแผลด้วยกันก่อนไหม?"




  ".........."




  "ชื่อสแกร์โครวสินะ.."




  ".........."     



  "ข้าชื่อไดนซ์..ยินดีที่ได้รู้จัก"








ตุ๊บ




  ร่างของหัวขโมยร่วงลงทีละราย กลุ่มผู้โชคร้ายที่มายุ่งแบบไม่ได้ดูเวล่ำเวลาถูกซัดกระจายแบบไร้ความปราณี สแกร์โครวฟาดอาวุธในมือใส่ร่างนั้น ความทรงจำที่นึกถึงทำให้การกระทำที่ออกมานั้นรุนแรงกว่าทุกครา 




   เขาจ้องมองร่างที่พากันถอยกรูดแล้ววิ่งหนีเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสู้ไม่ไหว รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าอย่างขบขัน ชายหนุ่มจ้องมองพลางนึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ไม่ต่างจากคนพวกนั้น ..คิดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโยนอาวุธในมือทิ้งแล้วก้าวเท้าต่อไปยังจุดหมายที่เหลืออีกไม่ไกล สายฝนเม็ดเล็กๆที่โปรยปรายลงมาหยุดไปนานแล้ว เหลือเพียงหิมะสีขาวที่ร่วงพรูไม่ขาดสาย ท่ามกลางลมหนาวที่ครางหวีดหวิวราวกับเสียงร่ำไห้ของปีศาจ ริมฝีปากพลันยกเป็นรอยยิ้มบางและฮัมเพลงออกมาเบาๆ 




My name it means nothing


My fortune is less


My future is shrouded in dark wilderness


Sunshine is far away, clouds linger on


Everything I posessed


Now they are gone




-------------------






...TBC

.

.

ฟิกนี้มัน เอ่อ...อืม...อือ....



   เอาเป็นว่าเขียนเกี่ยวกับสแกร์โครวก็แล้วกัน ในประวัติไม่ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองไว้เท่าไหร่ บอกแค่ทำอะไร ยังไง เรื่องนิสัยกะประวัตินั่นโน่นที่ลงไปก็โคตรจะเกรียน /โดนต่อย เอาจริงๆคือค่อนข้างอธิบายยาก เลยต้องเขียนมาเป็นฟิกแหละฮร่ะ *w*



    เรื่องนี้เกี่ยวกับเอวาด้วย ฟามหลังของสาวเอวากะส้มก็ประมาณนี้ ไม่แปลกใจที่จะโดนเคืองorz..



    ฟิกนี้มีอีกสองตอน (จะยาวไปไหน) คิดว่าจะจบวันฮาโลวีน เพราะไทม์ไลน์มันวันฮาโลวันพอดี ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านนะคะ *0*/





แปะๆเพลงที่ฮึมฮัมกันไปตะกี้ >>