วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

Stone rose's line : กุหลาบทรายใต้เงาหิน

Line : 18


Line : 18 ฝุ่นทราย

การที่ตัวเขาทำแบบนี้มันไม่ดีแน่...ก็รู้..

ไปตอกย้ำทำร้ายจิตใจใครเขามันไม่ดี..ก็รู้อยู่เหมือนกัน

แต่ว่า... ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้ออกปากขอโทษไปอย่างที่ควรจะทำ

คาวัลโล ขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะที่นั่งอยู่บนพื้นพรมด้วยท่าทีเซ็งชีวิต บนเนินทรายที่ไม่ห่างกันนักมีร่างของบุรุษชาวทะเลทรายสี่ห้าคนนั่งสวดมนต์ยามเย็นอยู่ เสียงของมันก้องกังวานไปทั่วท้องทะเลทราย ด้านหลังเป็นเมืองเล็กๆนั้นมีประชากรไม่มาก ส่วนใหญ่ก็ทำงานเป็นลูกจ้างรัฐในการสร้างเขื่อน คนเหล่านี้ต่างนั่งอยู่ด้านหลังของเขา นั่งคุกเข่าหมอบกรานสวดละหมาดตามจารีตแห่งศาสนาตน โดยมีอัลชาอ์และหมอศาสนาของที่นี่เป็นผู้นำท่ามกลางทะเลทรายที่อาทิตย์ใกล้จะตกดิน บรรยากาศในที่แห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยมนต์ขลัง มนเน่ห์แห่งทะเลทรายที่ใครหลายคนงว่าไว้ ชายหนุ่มพบว่าเขาเพิ่งค้นพบมันอย่างจริงจังก็คราวนี้...

ทะเลทรายกว้างใหญ่...ดูทั้งยิ่งใหญ่และเงียบเหงา หากมองมาจากท้องฟ้า ด้วยสายตาของนกที่กำลังบินว่อน มนุษย์...คงไม่ต่างจากมดตัวเล็กๆที่เกาะกลุ่มกันอยู่ภายใต้ท้องฟ้ากว้าง ส่งเสียงสวดมนต์ดังกังวานไปทั่ว จากเหล่าผู้ศรัทธาในศาสนาและศาสดาของตน ต่างก็สวดพร่ำเพื่อความหวัง เพื่อศรัทธา...

ก้อนหินก้อนใหญ่ซึ่งถูกลากมาสร้างเขื่อนที่เขาพิงอยู่มันยังอุ่นร้อน แสงอาทิตย์ที่อ่อนกำลังลงสอดผ่านเหลือศรีษะกระทบกับส่วนบนของหิน คาวัลโลขยับตัวซุกลงใต้เงาของมันหลบหลีกสายตาที่จ้องมองมาอย่างงวยงง สนอกสนใจ หรือบ้างก็เป็นอริ..

มาเฟียหนุ่มเม้มปากน้อยๆ ลอบผ่อนลมหายใจลงอย่างช้าๆ เป็นเรื่องไม่แปลกหรอกที่จะถูกจ้องมอง ทั้งด้วยรูปร่างหน้าตาที่แตกต่าง หรือลักษณะท่าที ตลอดจนการกระทำของเขา ชายต่างชาติที่ใส่ชุดโธปตามหลักศาสนาอิสลาม ทว่าไม่ได้สวมกุตราห์ หรือคาฟิยะห์ ทั้งยังไม่สวดมนต์ภาวนาต่อพระเจ้าของคนที่นี่..
เป็นคนแปลก..แตกต่าง แตกแยกกับพวกเขามาตั้งแต่แรก ก็สมควรถูกจ้องมอง และ...มุสลิมหัวเก่าบางคนก็คงไม่ชอบนักที่จะเห็นหน้าพวกต่างศาสนา โดยเฉพาะชาวคริสต์ ชาวตะวันตกที่มาก่อเรื่องมากมายในทวีปตะวันออกไกลแห่งนี้...

เป็นเรื่องปกติ...แต่ชวนหนาวสันหลังเยือกชอบกล...

มาเฟียหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือก..เชื่อเลยว่าถ้าเขาไม่ได้มากับอัลชาอ์ คนพวกนี้คงหาทางไล่เขาไปไกลๆตาเสียแน่ๆ..

ฝ่ามือที่คันยิบระคนเจ็บแปลบทำให้ต้องก้มลงมอง คาวัลโลขมวดคิ้วกับรอยเล็บของเจ้าเหยี่ยวชื่อ ฮาบาล ตัวนั้น บนฝ่ามือ ที่ตอนนี้มันขึ้นเป็นรอยแดงมีร่องรอยของผิวหนังที่ถูกขูกลอกจนเลือดไหลซิบ..

มองแล้วก็ก้มลงใช้ลิ้นเลียเเผล็บชิมรสเลือดฝาดๆของตัวเองและสัมผัสความเจ็บแปลบที่แล่นมาตามผิวหนังอย่างชาชิน จนแอบคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองอาจจะเป็นมาโซหน่อยๆ ไม่สิ อาจจะมากๆด้วยซ้ำ...

คาวัลโลมองดุแผ่นหลังของชีคหนุ่มที่เห็นอยู่ไม่ไกลนักด้วยสายตาครุ่นคิด วิธีการขอโทษหรือสำนึกผิดมีมากมายก็จริงแต่เมื่อที่สุดแล้วเขาเลือกจะไม่ขอโทษ ก็ควรจะทำต่อไปให้ตลอดรอดฝั่ง บอกตามตรงว่าในความคิดของตนเอง การขอโทษ..มันก็แค่เป็นคำพูดหนึ่งเท่านั้น..อ้าปากบอกได้ง่ายๆทว่าจะคิดหรือเสียใจกับมันจริงจังจริงรึไม่ก็ไม่มีใครทราบ..

เขากำลังคิดหาวิธีไถ่โทษในแบบของตัวเอง...อย่างที่เคยทำมาตลอด..

คิดหาวิธีที่จะ"ให้"ในสิ่งที่เขาเผลอทำลายมันไป แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันตอบแทน...ด้วยสาเหตุว่าให้ไม่ได้หรือให้ไปก็เท่านั้นก็ตาม แต่เขาเชื่อเสมอเรื่องความยุติธรรรม ใครทำอะไรก็ต้องเจอแบบเดียวกัน ดังนั้น ถ้าเขาทำร้ายจิตใจใครหรือทำอะไรให้ใคร จะปล่อยวางไม่ได้ ต้อง"ชดใช้"คนเหล่านั้นด้วยค่าที่เท่ากัน..

...ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะทราบถึงการตอบแทนนั้นไหม...ก็ตาม...

ดวงตะวันยังคงไม่ลาลับขอบฟ้า คาวัลโลวางฝ่ามือลงบนผิวแก้ม เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันและภาพเบื้องหน้า ขณะที่สมองพาลคิดไปถึงเหล่าคนในครอบครัวทั้งหลาย..

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกแปลกแยก....แตกต่าง

และปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันทำให้เขาคิดถึงบ้าน..

...และไม่ปฏิเสธเช่นกันว่าเขากำลังเหงา...ที่ข้างกายไม่มีใครคอยยิ้มให้สักคน...

..............................................................

สิ่งที่อเล็กเซย์ จิโอวานนี่ วาลกัส ชื่นชอบเป็นที่สุดคือเรื่องของความเร็ว เขาชอบการขับรถ เขาชอบกิจกรรมผาดโผน ชอบเรื่องตื่นเต้น ท้าทาย และไม่เคยอยู่กับที่ได้นานเลยสักครั้ง ต่อให้มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้นเพียงไหน มันอาจจะทำให้เขาไม่มีโอกาสออกไปทำอะไรตามใจเท่าไหร่ แต่ทว่า พี่ชายคนรองของตระกูลวาลกัสก็ยังคงชื่นชอบที่จะวิ่งแจ้น กระโดดโลดเต้นไปมาให้หายเฉื่อยอยู่ตลอด..

....อเล็กเซย์เชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์ประเภทที่ไม่ได้ขยับแล้วเท่ากับตาย...

และตอนนี้ ทฤษฎีนั้นก็ไม่ผิดพลาดเลยสักนิดเดียว..

หลังจากเดินทางกลับมายังอิตาลีด้วยสายการบินพิเศษที่เช่าเหมาลำมาเพื่อความปลอดภัย และลงจากเครื่องโดยมีบอดีการ์ดและรถคุ้มครอง ประกบติด แต่ก็มาเจอการจราจรในกรุงโรมในชั่วโมงเร่งด่วนที่เข้าขั้นเรียกได้ว่าเป็นอัมพาต แต่คงไม่เท่ากับร่างของคุณชายคนรองแห่งตระกูลวาลกัสที่ทำหน้าเหมือนใกล้จะแห้งตายเป็นซากติดกับเบาะหนังชั้นดีของรถ แมคคาเลน เมอซิเดส SLR สปอร์ต ซึ่งต่อให้รถมันจะสวยเบาะนุ่มหรือเครื่องเสียงดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถปรับพื้นอารมณ์ที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤติของชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพขาสองข้างเข้าเฝือกให้ดีขึ้นมาได้...

กระทั่งมีร่างของแฝดคนพี่สุดที่รักนั่งข้างๆ ก็ยังไม่สามารถทำให้อเล็กเซย์เลิกถอนหายใจเฮือกๆหงุดหงิดฟึดฟัด ยังดีที่อเล็กซิสส่งสายตาปรามมองมาเป็นระยะๆ นั่นจึงเป็นสิ่งเดียวที่คอยรั้งไว้ไม่ให้อเล็กเซย์อาละวาดคว้าคอคนขับโยนลงบนถนนแล้วขับรถฝ่าไฟแดงแล่นทะลุตึกรามบ้านช่องออกไปให้ถึงบ้านแม้เจ้าตัวจะอยู่ในสภาพขาพิการก็ตามทีเถอะ...

" นั่งถอนใจไปรถมันก็ไม่ไปเร็วขึ้นหรอกนะพี่อเล็กซ์ " คาร์เนโร่เหลือบตามองมาจากเบาะหน้าข้างคนขับ ก่อนจะปรายตามองไปยังพี่ชายคนโต " แล้วนั่นก็นั่งวิเคราะห์หุ้นเก็งกำไรไปถึงโลกไหนแล้วไม่ทราบ...ลุกไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อยไหมครับคุณชาย "

" เพราะฉันนั่งเล่นหุ้นอยู่น่ะสิ แกถึงมีปัญญาเอาเงินไปหว่านทิ้งกับโครงการวิจัยฝุ่นไร้สาระนั่น " อเล็กซิสถลึงตากลับแล้วเริ่มอ้าปากฟัดกับน้องชายสุดที่รัก(?)

"....ทั้งสองคน..เงียบไปเลยไป ! " เสียงตลวาดที่ไม่ได้มีมาบ่อยนักของอเล็กเซย์ทำให้สองหนุ่มยอมหุบปาก อเล็กซิสหันไปมองร่างของคนรักที่กำลังอารมณ์เสียถึงขีดสุดแล้วลอบถอนใจ เขาปิดแลบท๊อปบนตัก วางมันลงบนเบาะนั่งอย่างไม่สนใจ ก่อนจะขยับกายเข้าไปใกล้ พลางดึงเอาตัวคนอารมณ์เสียมาแนบชิด..

" อารมณ์เสียอะไรนักหือ? "เสียงพึมพัมเบาๆในท่วงทำนองแสนออดอ้อนนั่นไม่ได้คุ้นหูคนอื่นเท่าไหร่นัก คาร์เนโรเหลือบมองไปยังกระจกมองหลังอย่างหน่ายระอา ขณะที่ฝ่ามือก็ซัดเข้าที่กกหูของคนขับรถที่ทำท่าจะชะแง้มองอย่างไม่เบานัก

" มองข้างหน้าไป แก....." เอ่ยพลางถลึงตาใส่มันเงียบๆ ส่วนฝ่ามือก็จัดการบิดกระจกนั้นให้หันมาทางด้านของตัวเอง ไม่ให้คนขับรถมอง และรวมถึงตัวเขาที่จะไม่เห็นภาพน่าหมั่นไส้พวกนั้นด้วย...

.....แค่ฟังเสียงก็เอียนจะตายแล้ว..

"...ไม่เอา ร้อน...." ช่วงนี้อารมณ์คนป่วยไม่นิ่งเสียจริงๆ ยิ่งกับคนป่วยที่ไฮเปอร์ไม่ยอมนิ่งอย่างอเล็กเซย์ต้องมากลายเป็นคนพิการขาหักนั่งรถเข็นด้วยแล้ว...ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่..

" หือ? อะไรกัน...ไม่สนใจฉันแล้วเหรอ? " เอ่ยถามพลางจับเอาฝ่ามือที่เอื้อมมาผลักใบหน้าของตนที่แนบชิดเมื่อครู่ ไว้อย่างคาดโทษ..ดวงตาจ้องเขม็งสบกับนัยน์ตาสีเดียวกันที่ฉายแววหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด..

" เปล่า..... "น้ำเสียงนั้นยังแฝงแววกระเง้ากระงอด แม้ว่าจะลดอาการปั้นปึ่งลงมากแล้ว ท่าทีนั้นบอกให้อเล็กซิสรู้ว่าจะดุไปก็เสียเรื่องเปล่า ที่ทำได้ก็มีแต่ปลอบให้เจ้าตัวลดอาการอารมณ์ไม่คงที่ก็เท่านั้น

"...แล้วเป็นอะไรล่ะหือ? นี่ก็รถติดแบบนี้ปกตินั่นล่ะ " ..แน่นอนว่าพวกเขาที่อยู่อิตาลีมาครึ่งชีวิตมีหรือจะไม่ชินกับชีวิตตามใจตนและไร้ระเบียบอย่างร้ายกาจของชนชาติตัวเอง หรือกระทั่งสภาพการจจราจรที่เต็มไปด้วยคนทำผิดกกจราจร พวกไม่รู้เรื่อง หรือพวกชอบทำอะไรตามใจ ให้ตำรวจคอยวิ่งว่อนไปหมด...ทั้งหมดนี่นั่นล่ะ มีอยู่ใน"อิตาลี" บ้านของพวกเขา

"....อเล็ก....อึดอัดจะตายอยู่แล้ว..." อเล็กเซย์พึมพัมออกมาหย่างหงุดหงิด เขาโขกหน้าผากกระทบกับไหล่หนาในชุดสูทของอเล็กซิสแฝดผู้พี่เบาๆด้วยท่าทีจนใจ " ไม่ไหวแน่ๆ ให้ฉันอยู่แบบนี้ฉันต้องตายแน่ๆ...โอยยยยยยยยยย"

" ก็เจ็บอยู่นี่ จะทำไงได้ล่ะ " อเล็กซิสส่ายหัวกับความต้องการที่เป็นไปไม่ได้ของแฝดน้อง

"....เดี๋ยวคาร์โลก็กลับ เดี๋ยวนายก็ไปทำงาน พ่อด้วย ซานดร้า ลุงเฟรโด้ก็ด้วย กระทั่งแม่ก็ต้องนั่งแต่งนิยายไปตามเรื่อง ทิ้งให้ฉันนั่งเฉาตายบนรถเข็นกับเจ้าลาบาดอร์งี่เง่าอีกสองสามตัว...ไม่เอานะอเล็ก...ฉันต้องตายแน่ๆ ฉันต้องเบื่อตายแน่ๆๆๆๆ "

" ผมยังไม่กลับน่า "คาร์เนโรท้องออกมาเบาๆ

" เดี๋ยวแกก็ไปน่ะ ถึงอยู่แกก็เหมือนไม่อยู่ อยู่ดีนั่นล่ะ !! " อเล็กเซย์ถลึงตาใส่น้องชายอย่างเอาแต่ใจ

" อะไรกัน! ที่ไม่อยู่น่ะหมายความว่าไง? ไม่เห็นหัวเหรอหา? หรือคิดว่าไม่มีตัวตนกันแน่" คราวนี้คาร์โลเริ่มเปิดแนวรบใส่อย่างไม่ยอมแพ้

" หา? เดี๋ยวแกก็แจ้นไปคุยโทรศัพท์ เดี๋ยวแกก็ไปเปิดคอมพ์ติดต่ออะไรมากมาย ตอนบ่ายก็เข้าไปสำนักงานวิจัย แกอยู่บ้านตรงไหนว่ะหา? แกมาบ้านน่ะแค่มากินข้าวกับซุกหัวนอนเท่านั้นล่ะโว้ยยยย " อเล็กเซย์โวยใส่อย่างไม่ยอมแพ้

" แล้วไงล่ะฮึ..ทีพี่ล่ะ เคยอยู่นานซะที่ไหน เดี๋ยวแจ้นไปโน่นมานี่ มาด่าว่าชาวบ้านเขาอยู่แค่นอนกับกิน ทีพี่ล่ะว่ะ ขนาดห้องตัวเองยังไม่อยู่เลย ! " คนเป็นน้องเริ่มสาวไส้กลับถึงพฤติกรรมที่กำลังอยู่ในขั้นอยู่กินฉันท์สามีภรรยาของพี่ชายทั้งคู่ ประเภทที่นอนด้วยกัน ออกไปกินข้าวด้วยกันสองต่อสอง หรือหายหัวไปสองคนไม่บอกใครตอนวันเสาร์อาทิตย์บ้าง...อะไรแบบนั้น

"....เรื่องของฉัน ! ไอ้คนที่หาอิตัวสองสามคนไปกกตอนวันหยุดน่ะอย่ามาโวยหน่อยเลย ไอ้..."

" นี่มันใช่เวลามาสาวไส้กันรึไงน่ะหา !? " อเล็กซิสที่นั่งนิ่งฟังสองพี่น้องซึ่งสนิทสนมกัน"ดี" สาวไส้กันไปมาแล้วชักปวดหัวขึ้นมา เขาเอื้อมมือไปปิดปากคนข้างตัวไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ตวาดใส่น้องชายเป็นคำรบสอง ให้ทั้งคู่รู้ตัวเสียทีว่าตอนนี้คนขับรถกำลังกลั้นหัวเราะเสียจนตัวสั่น...บวกกับสายตาของรถคันข้างๆที่เริ่มเมียงมองทะลุกระจกติดฟิล์มกรองแสงเข้ามาอย่างอยากรู้..

....พี่น้องตระกูลดังนั่งทะเลาะกันกลางถนน สาวไส้ด่ากันท่ามกลางสายตาชาวบ้านชาวช่อง น่าสรรเสริญนักนี่...

" เหอะ.... "คาร์โลส่งเสียงครืดคราดในลำคอ แน่นอนว่าเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ควรจะเงียบไว้ก่อน ดังนั้นคุณชายคนที่สามของบ้านจึงหันไปทำเสียงฮัดอัดใส่คนขับแทนเป็นการระบายอารมณ์

"...ชิ " อเล็กเซย์พิงไหล่แฝดพี่อย่างไม่สนใจ แถมยังทำลอยหน้าลอยตาใส่น้องชายคนสนิทเสียด้วย..

".........." อเล็กซิสแอบถอนหายใจเฮือก กับคู่พี่น้องที่บทจะดีก็ดี บทจะทะเลาะกันก็เล่นเอาลั่นไปทั้งบ้านอย่างระอาใจ..

แน่นอนว่าหากบวกอเล็กซานดร้าและคาวัลโลอีกคนเข้าไปแล้ว ครอบครัวพี่น้องสุขสันต์บ้านแตกของพวกเขาจะ...สมบูรณ์แบบแน่นอน..

คิดพลางอดจะยกรอยยิ้มกับภาพอดีตที่ผ่านเข้ามาในห้วงคิดไม่ได้ ภาพอเล็กเซย์นั่งคุยจิกจิกกับคาร์โลโดยมีเขานั่งข้างๆ ส่วนคาวัลโลมันก็คอยวิวาทถอนหงอกอยู่ห่างๆ พ่วงมาด้วยแม่น้องสาวคนเดียวของพวกเขาซึ่งกำลังชั่งใจว่าวันนี้จะเดทกับหนุ่มคนไหน ที่ใดดีถึงจะไม่มีพี่ชายน้องชายคนไหนตามไปรังควานให้เดทของหล่อนเหลวอีกเป็นครั้งที่หลายสิบ...

...คิดแล้วมันช่างแตกต่างกับตอนนี้เสียเหลือเกิน ดูห่างไกลราวกับอยู่คนละโลกเสียด้วยซ้ำ...

เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนรักพลางลอบถอนใจแผ่วเบา...ตอนนี้ สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ทุกสิ่งกลับไปเป็นเหมือนเดิม ก็คือการต่อสุ้เพื่อสิ่งที่เขารักทั้งหมด..

....เพื่อจะควานหาตัวคนที่แย่งชิงความสงบสุขของพวกเขาไป...นั่นคือหน้าที่ซึ่งพี่ใหญ่ของบ้านอย่างเขาต้องทำ..

...กางปีกปกป้องคนที่รักอย่างสุดความสามารถ...

ด้วยชีวิต..

" อเล็ก....โกรธเหรอ? " อเล็กเซย์สังเกตว่าคนข้างกายนิ่งเงียบไปผิดปกติ เขาจึงหันไปส่งเสียงอ้อนอีกฝ่าย.. และนั่นทำให้คนที่นิ่งขึงครุ่นคิดอยู่รู้สึกตัวขึ้นมาได้

" หือ?...เปล่าหรอก....ไม่มีอะไร " ตอบพลางคว้าร่างของคนรักให้แนบชิด จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆอย่างรักใคร่

" เฮ่ย...กลางถนนนะ..." คาร์เนโรส่งเสียงเตือนสั้นๆ

"....รู้แล้ว...." สองแฝดรับคำในลำคองึมงัม แต่ก็ยังไม่ผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันแต่อย่างใด จนคนมองต้องส่ายหัวอย่างหน่ายระอา

....เอาให้รุ้กันทั้งอิตาลีเลยมั้ย ถึงจะพอใจกันน่ะ!!

คาร์โลบ่นพึมพัมในลำคอกับนิสัยชอบแสดงความรัก ความสนิทสนมแนบชินจน"เกินไป" ออกมาสู่สาธารณชนอยู่เนืองๆของคู่แฝด ที่สักวันคงได้มีรูปอล่างฉ่างโผล่ขึ้นนสพ.แท๊ปลอยด์หัวใดหัวหนึ่งสักวันแน่..และถ้าวันนั้นมาถึง ต่อให้ใช้เม็ดเงินและอิทธิพลแค่ไหนก็เถอะ งานนี้คงเอาไม่อยู่แน่ๆ..

นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือกขึ้นสูง ก่อนจะเสมองไปยังถนนเสีย เมื่อสายตาปะทะกับช๊อตการแลกอากาศหายใจของพี่ชายทั้งสองเต็มๆตา...

...ไม่ว่าหน้าไหนก็บ้าๆบอๆไปเสียหมด...

คาร์โลบ่นดังๆในหัว อย่างอารมณ์เสีย เมื่อพบว่าตัวเองดูจะปกติที่สุดในหมู่มนุษย์ต่างดาวพวกนี้ซะแล้ว..

........................................................

หลังจากฝ่าการจราจรอันติดขัดมาได้อเล็กเซย์ก็มานั่งทำหน้าตายอยู่บนรถเข็นประจำตำแหน่ง..ที่ต่อให้มันเลิศหรูดูดีแค่ไหน มันก็ไม่สามารถจะต่อขาให้เขาเดินได้..หรือว่าจะใช้มันบินไปไหนมาไหนได้ตามชอบ..คฤหาสถ์กว้างใหญ่ของตระกูลวาลกัสใจกลางกรุงโรมนั้นยิ่งใหญ่และสวยงามเหมือนเก่า แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่คุณชายรองของบ้านจะรู้สึกขัดอกขัดใจกับอาณาเขตกว้างๆของมันเท่าวันนี้...

อเล็กเซย์นั่งทำหน้าไม่พอใจใส่พาหนะชั่วคราวของตัวเองเขากวาดตามองลูกน้องของลุงที่เข้ามาประจำการในบ้านเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มกำลังแล้วเหลือบไปสบตาฝาแฝดที่กำลังออกแรงเข็นรถพาตัวเขาไปสู้ด้านในของบ้าน..สังเกตเห็นผู้คนในบ้านที่เพิ่มขึ้นจากปกติ..ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา สักพักก็ร่วมวงนั่งทานข้าวเย็นตลอดจนพูดคุยกันคนในครอบครัวพอหอมปากหอมคอ เเละออกปากขอตัวออกมาพักผ่อนตามประสาคนป่วยทั่วไป..

นั่งลงบนเตียงพลางนวดต้นขาตัวเองเบาๆด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ขณะที่แฝดพี่ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนป่วยก็กำลังขยับจัดรถเข็นให้เข้าที่พร้อมใช้ส่งเสียงก๊อกๆแก๊กอยู่ใกล้หู..อเล็กเซย์กวาดตามองไปรอบห้องนอนที่แสนคุ้นเคย บนเตียงกว้างผ้าปูสีน้ำตาลอ่อน หัวเตียงมีหนังสือสองสามเล่มวางอยู่ ด้านขวามีโคมไฟดีไซน์เก๋ กรอบรูปลายกราฟฟิกที่วางอย่บนโต๊ะเล็กๆตัวเดียวกันมีรูปของเขาและฝาแฝดใส่อยู่ด้านใน รูปวาดสีน้ำมันของศิลปินต่างแดนที่เขาชื่นชอบติดอยู่บนผนังด้านหัวเตียง ด้านปลายเท้ามีโต๊ะเครื่องแป้ง ติดกระจกสำหรับวางข้าวของจุกจิกเล็กๆน้อยๆและครีมบำรุงผิว น้ำหอมเคลวินคลายน์ ขวดสีดำของอเล็กซิสวางอยู่ข้างๆขวดน้ำหอมทรงสูงสีขาวของแชนเเนลกลิ่นโปรดของเขา

โทรทัศน์จอLCD 32 นิ้วและเครื่องเล่นDVD พร้อมเครื่องเสียงโฮมเทียเตอร์ถูกทิ้งร้างเมื่อเจ้าของไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่ ผนังสีขาวมีตู้แบบบิลด์อินท์สำหรับใส่เสื้อผ้าซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนและมีสไตล์ ถัดจากนั้นคือชั้นสำหรับวางหนังสือ และของตกแต่งต่างๆที่ทำจากไม้สนซีดาร์ทาสีดำเผยเปลือกลายเงาวับ ส่วนมากของที่วางอยู่คือโมเดลจำลองของรถรุ่นต่างๆที่ตัวเขาชอบสะสม และคริสตัลราคาแพงที่แกะสลักเป็นรูปสิ่งก่อสร้างอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองต่างๆเป็นสถาปัตยกรรมที่อเล็กซิสชื่นชอบ..ทั้งหอไอเฟล พระราชวังบัคกิ้งแฮม หอนาฬิกาลอนดอน หรือกระทั่งคริสตัลแกะจำลองวังวาติกันอันลือชื่อ...

ม่านหนาหนักสีเข้มทิ้งตัวลงบนผนังห้องด้านขวาที่มีบานกระจกเลื่อนเปิดออกเป็นทางไปสู่ระเบียงกว้าง ในปลายเดือนสิงหาคมที่สายลมเย็นเริ่มชายโชยมานิดๆชวนให้หนาวยะเยือกเล่นๆแต่ฟ้าเปิดกว้างก็เหมาะสำหรับการดูดาวและมีกล้องโทรทัศน์ขนาดกลางตั้งอยู่..

ผนังด้านซ้ายมีประตูเล็กๆภายในที่สามารถเปิดออกไปยังด้านข้างได้...และมันก็เปิดแง้มอยู่นิดๆ อเล็กเซย์แอบชะเง้อมองห้องของตัวเองซึ่งไม่ได้เข้าไปนานพอดูด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา แต่เมื่อพบว่ามันยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อยแบบไม่มีใครสนใจเช่นเดิมเขาก็ละสายตาไป..

...ถอนหายใจอย่างพึงใจเมื่อพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเก่า..บ้านที่ยังคงเป็นบ้าน...และห้องนี้ก็ยังคงเป็นห้องนอนที่เขาเคยคุ้น.

ยังคงเป็นห้องที่เขาชื่นชอบมันมากที่สุด..ที่ๆมีทั้งตัวตนของเขาและอเล็กซิสอยู่รวมกันและผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่ง...

....หนึ่งเดียวที่เขาอยากให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดกาล...

ชายหนุ่มปรือตามองปลายเตียงเมื่อชักจะคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมากะทันหัน..เขามองเห็นเส้นผมสีทองของฝาแฝดเดนชัดจึงครางออกมาเบาๆ พลางยื่นมือขึ้นชูสูงบนอากาศ

"...อาบน้ำ..." น้ำเสียงเรียกร้องปนออดอ้อนดังขึ้นทำให้อเล็กซิสละมือจากการตรวจสอบดูความเรียบร้อยของรถเข็น มองเห็นร่างของแฝดคนน้องที่กำลังอยู่ในสภาพพิการครึ่งท่อนนอนไม่กระดิกกระเดี้ยตัวอยู่บนเตียงนอน หากเจ้าตัวก็ยังโบกมือชูสูงออดอ้อนให้รีบเดินไปหาโดยอัตโนมัติ

"...จะนอนแล้วเหรอ..หืม?.." ร่างสูงเดินเข้ามาคร่อมทับไว้พร้อมกับก้มลงถามกระซิบ ริมฝีปากลากไล้ตามกกหู พร้อมกับแตะจูบเบาๆอย่างสเน่หา

"....อืม....อาบน้ำหน่อย..." พยักหน้ารับพลางยกมือคล้องลำคอของอีกฝ่าย อเล็กเซย์ส่งจูบไปยังต้นคอของแฝดพี่บ้างเป็นการโต้ตอบเรียกเสียงหัวเราะเบาๆเป็นคำขอบคุณ..

"..ซนนัก..เดี๋ยวจะเจอดี.." คำขู่นั่นมีผลแค่ให้คนได้ฟังหัวเราะรับ อเล็กเซย์แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า

" เอาสิ..หืม...กล้าแกล้งคนป่วยรึไง?" ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่มือข้างหนึ่งที่คล้องคอหนากลับลดลงมาไล้ต้นคอเบาๆพลางกดมันลงบนเเอ่งชีพจรของฝาแฝด
ขณะที่อเล็กซิสออกแรงอุ้มร่างของน้องชายฝาแฝดเข้าไปในห้องน้ำอย่างคุ้นเคย

" ให้ทำมั้ยล่ะ? " คำพูดสองแง่สองง่ามเรียกเสียงหัวเราะขำ อเล็กซิสวางร่างของคนรักลงบนเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ด้านใน เขาเอื้อมไปหยิบยาสีฟันและ
แปรงสีฟันมาหยิบเตรียมไว้อย่างรู้งานพร้อมกับเปิดน้ำยื่นส่งไปให้ฝาแฝดที่นั่งมองกระจกอยู่..

".. หน้าฉันโทรมมากๆแน่เลย.." อเล็กเซย์บ่นพลางทำหน้าเบี้ยวกับกระจก หรี่ตามองใบหน้าตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์

" ไม่เห็นโทรมตรงไหน...ยังไงเซย์ของฉันก็น่ารักที่สุดอยู่ดีนั่นล่ะ " ฝ่ามือหนาจับปลายคางให้หันไปรับจูบเบาๆตรงริมฝีปาก.. อเล็กเซย์สบมองแววตาอันรักใคร่ของคนรักด้วยความพึงใจก่อนจะแลบลิ้นแตะกับริมฝีปากหนาเบาๆอย่างหยอกเย้า

".. แปรงฟันก่อนสิ.." ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อมองเห็นแววตาคุกรุ่นของคนรักสะท้อนผ่านกระจกเบื้องหน้า...

"....งั้นฉันช่วยถอดเสื้อนะ.." ไม่ทันรอคำตอบรับ ฝามือหนาก็เริ่มลัดเล่าผ่านเสื้อเชิ๊ตตัวบาง อเล็กซิสลงมือปลดกระดุมเสื้อของแฝดคนน้อง หากนัยน์ตาจับจ้องไปยังกระจกใส ส่งผ่านความนัยน์ไปยังแววตาสีเดียวกันที่มองตอบ...

....กระดุมเสื้อค่อยๆหลุดจากรังทีละเม็ด....ทีละเม็ด....

อเล็กเซย์ขยับแปรงฟันในมืออย่างเชื่องช้าลงเรื่อยๆ...แก้วน้ำในมือซ้ายถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก ยามที่แปรงฟันในมือขวาถูกฝ่ามืออีกข้างของฝาแฝดเกาะกุมไว้และขยับมันขึ้นลงอีกสองสามทีแบบส่งๆแล้วจึงดึงออกจากโพรงปาก..น้ำสีขุ่นเพราะฟองขาวถูกบ้วนลงลงอ่างล้างหน้า ขวดน้ำยาบ้วนปากถูกส่งมาให้ กลั้วคอเบาๆไม่กี่ครั้งก็ถูกวางทิ้งไว้เพียงแค่นั้น...

เสื้อเชิ๊ตสีขาวหลุดลงไปกองบนพื้นหินอ่อน และตามมาด้วยกางเกงผ้าเนื้อดีและกางเกงในสีเข้ม..

ขณะที่ร่างของอเล็กเซย์ถูกโอบกอดและอุ้มเข้าไปยังอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่คนสองคนสามารถเข้าไปอาบด้วยกันได้อย่างง่ายดาย น้ำอุ่นถูกเปิดไว้เพียงแค่ครึ่งอ่างมันเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยามที่ร่างเพรียวถูกวางลงช้าๆ ทั้งที่ริมฝีปากของพวกเขายังคงเฝ้าคลอเคลียจุมพิตกันอย่างอ่อนหวาน...

ขาทั้งสองข้างมีเฝือกสีขาวอันใหญ่ครอบไว้โดยรอบพาดลงบนพื้นด้านนอกอ่าง ทำให้อเล็กเซย์อยู่ในสภาพเปลือยกาย อ้าขากว้างพาดลงกับขอบอ่าง..ซึ่งเป็นกริยาที่ดูน่ามองนักสำหรับแฝดผู้พี่ที่กำลังบีบครีมอาบน้ำลงบนอ่าง และตีมันเบาๆให้ฟองขาวลอยฟ่องส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ..

"..อือ....นี่แกล้งกันนี่...." คนป่วยออกปากท้วง ใบหน้าแดงจัดเมื่อพบว่าอีกฝ่ายทิ้งให้เขาเปลือยกายอ้าซ่าอยู่ในอ่าง

" เดี๋ยวสิ..อย่าใจร้อน.. " อเล็กซิสจูบปลายจมูกโด่งสันของแฝดน้องออกปากปลอบเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว.. " อาบน้ำก่อนสิ..จริงไหม?ไม่ทำจริงเดี๋ยวหมอมาตรวจได้ลากพยาบาลมาสอนอีกแน่ๆ..."

เอ่ยพลางยิ้มมุมปากอย่างขบขันไม่น้อย กับเหตุการ์ณที่ทำให้อเล็กเซย์ค้อนใส่ตาคว่ำ...กับการอาบน้ำที่เขายืนยันจะไม่ให้พยาบาลสาวคนไหนแตะคนป่วยเด็ดขาด ทั้งโวยทั้งขู่ จนสุดท้ายพยาบาลจึงได้ลากตัวเขาไปสอบวิธีการอาบน้ำคนป่วยแบบ"สาธิตสด" กับร่างของฝาแฝดที่ถูดจับแก้ผ้าอล่างฉ่างเป็นนายแบบให้เขาทดลองงานอาบน้ำผู้ป่วย..และเหตุการ์ณนั้นก็ถือได้ว่าเป็นประสบการ์ณน่าขายหน้าที่อเล็กเซย์ปฏิญาณว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นแน่..

"...อาบดีๆนะ " นัยน์ตาสีฟ้าใสเขม่นมองแบบดุๆ พลางจิกปลายนิ้วขาวสะอาดลงบนไหล่หนาที่ยังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มติดกาย

" แน่นอนอยู่แล้ว..จะอาบให้สะอาดทกมุมเลย " กระซิบเย้าแหย่พลางเลื่อนมือไปหาไหมขัดตัวนุ่มๆอเล็กซิสเผยรอยยิ้มร้าย..ขณะที่เริ่มเอื้อมมือไปหาร่างของแฝดผู้น้องที่เอนตัวนิ่งราวกับเป็นเหยื่อชั้นดี...

ร่างขาวจัดตอนนี้กลายเป็นสีชมพูระเรื่องด้วยเลือดฝาด..อเล็กเซย์ปรือตาลงต่ำขณะที่ผิวแก้มเป็นสีจัดด้วยแรงอารมณ์ที่ทวีขึ้นสูง...จากปลายนิ้วที่ลูบไล้ด้านในของต้นขา ไหมขัดตัวที่นุ่มและชุ่มน้ำถูกลูบไล้แผ่วเบาไปตามร่างกายอย่างชำนิชำนาญ..ทั้งทำความสะอาด และวกวนหยอกล้อจุดอ่อนไหวในร่างกาย...ทั้งลำคอ...ต้นขา...แผ่นอกและหน้าท้องผอมที่เสียววาบยามปลายนิ้วสะกิดร่องสะดือต่ำมายังส่วนกลางลำตัว..

อเล็กเซย์เชิดหน้าขึ้นสูงพลางครางออกมาแผ่วๆ...การปลุกเร้านี้ทั้งทรมารและปรนเปรอเขาไปพร้อมๆกัน...ไม่มากขนาดดิ้นเร่าจนทนไม่ไหว ไม่น้อยไปจนไม่รู้สึกรู้สา..ทว่า..ชวนให้มัวเมา ลุ่มหลงหนัก...

พลันสัมผัสทั้งหมดก็ย้ายไปยังด้านบน ปลายนิ้วแทรกเข้าไปในเรือนผมสีทอง สายน้ำอุ่นพร่างพรมลงบนเส้นผมนิ่มตามมาด้วยแชมพูส่งกลิ่นหอม...ฝ่ามือหนาแทรกเข้าสอดไล้บนหนังศรีษะพลางออกแรงนวดสลับเกามันเบาๆ มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลับตาพริ้มด้วยใบหน้าเคลิ้มสุข....

อเล็กซิสยิ้มอ่อนโยน ทอดมองใบหน้าอันเปี่ยมสุขของคนรักเบื้องหน้า ชายหนุ่มโน้มตัวเหนือศรีษะอีกฝ่าย ก้มลงจรดริมฝีปากแตะไล้เรียวปากบางและสอดปลายลิ้นเข้าลึก..พัวพันกันในโพรงปากอย่างอดรนทนไม่ไหว..

อเล็กเซย์ครางฮืมในลำคอ....ชายหนุ่มเอื้อมมือออกแรงบีบท้องแขนของฝาแฝดด้วอารมณ์หวามไหว..
และในที่สุด...เมื่อริมฝีปากผละจากและสายน้ำอุ่นชโลมล้างเส้นผมจนหมด...อเล็กเซย์ก็ปรือตาขึ้นมองร่างของแฝดผู้พี่ที่โน้มตัวอยู่ด้านบนศรีษะ...ปลายฟันงับลงบนเรียวปากเบาๆเขาส่งสายตาวอนเว้าไปให้อีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ไหว..

"...อเล็ก......" น้ำเสียงแฝงแววยั่วดย้าปนออดอ้อนชวนหัวใจสั่นไหว...อเล็กซิสเหลือบมองเรียวขาที่ยังคงมีเฝือกอันใหญ่ครอบไว้อยู่เพียวชั่วครู่ ก่อนจะโน้มกายลงไปหาคนรัก ฝ่ามือควานหาจุกเปิดอ่าง พร้อมกับดึงออกให้สายน้ำเริ่มลดระดับลง..

เขาแตะริมฝีปากลงบนเรียวปากบาง..บดขยี้มันเบาๆ..ปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตที่เปียกชื้นออกและเหวี่ยงมันลงกับพื้นอย่างไม่สนใจ..

"....อา....อเล็ก..."ริมฝีปากแดงฉ่ำร้องครางออกมาเสียงหวานอย่างไม่อาจห้ามใจ อเล็กเซย์ครางเสียงสั่นไหว...กอดรัดร่างของแฝดผู้พี่ไว้แน่น..ปลายเล็บจิกลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย..ขณะที่ใบหน้าเเหงนเงยขึ้นสะท้อนแสงไฟในห้องน้ำ..

"..อืม...." อเล็กซิสครางรับเบาๆ...เสียงเนื้อกระทบกันดังกระทบเป็นจังหวะภายในห้องน้ำกว้าง ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่..เขาโน้มกายคร่อมทับร่างของแฝดน้องแทรกกายเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหล่าเหยเกบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์รักที่โหมกระหน่ำ..

"...อ่า...อา....อเล็ก...อเล็ก...." อเล็กเซย์ครางเสียงหวิวถี่กระชั้นด้วยห้วงอารมณ์ใกล้จะถึงที่สุด...เขาพยายามอ้าขาออกกว้างเผยช่องทางให้คนรักได้สอดแทรกเข้ามาในกายของตนลึกขึ้น..แม้ว่าขาที่บาดเจ็บจะเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว แต่จังหวะรักที่เร่าร้อนก็ไม่สะดุดหงุดลงแต่อย่างใด.. ตรงกันข้ามชายหนุ่มยิ่งกอดรัดพัวพันเต็มที่ในการเปิดทางให้อีกฝ่ายกระโจนเข้าหา..

"....อา.....ฮื้ออออ..." ร้องครางเสียงสั่นเมื่อแก่นกายที่แทรกอยู่ในร่างทำท่าจะถอดถอนออกไป..อเล็กเซย์ครางประท้วง หาก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวีดสั้นๆเมื่อกายที่ถอดออกพลันกระแทกเข้าหาหนักหน่วง รุนแรง... สะโพกบางขยับรับกับแรงโหมกระหน่ำที่สาดเข้าหา ฝ่ามือจิกเข้ากับไหล่หนาสุดแรงเมื่อรู้สึกดีเสียจนน้ำตาปริ่ม..อเล็กเซย์หอบสะดุดลมหายใจถี่กระชั้น....เมื่อความรู้สุดทั้งหลายกำลังถึงขีดสุด

"...อีก...สิ...อื้อ.....ใช่......อา..อเล็ก....ฉัน...อา...จะ........." อเล็กเซย์ครางเสียงหวาน ร่ำร้องกับแผ่นอกหนาที่ชิดใกล้...เขาเอื้อมมือไปคว้าใบหน้าของฝาแฝดไว้..โผเข้าประทับจูบลงบนริมฝีปากหยักหนา สอดไล้เข้าพัวพันอย่างดูดดื่ม..จังหวะกระแทกกระทั้นเบื้องล่างยังไม่ลดความเร็วลง ขณะที่ส่วนกลางของร่างกายรู้สึกดีจนแทบทนไม่ไหว..อเล็กเซย์กวาดลิ้นทั่วโพรงปากของคนรัก ส่งเสียงครางอู้อี้ในลำคอด้วยความเต็มตื้นในอารมณ์..

..... ผละจากกันเมื่อหยดสีขาวขุ่นสาดกะจายบนหน้าท้อง..และรู้สึกร้อนวาบในกาย อเล็กเซย์ครางออกมาเบาๆ นัยน์ตาหรุบต่ำอย่างเหนื่อยอ่อน...ผิวแก้มแดงจัด
ถูกมือหนาของอเล็กเซย์ประคองไว้เบาๆ พร้อมกับแนบจูบพร่างพรมจูบไล้หยาดน้ำใสตรงหางตาอย่างทะนุถนอม..

" Ti amo..." เสียงกระซิบบอกรักแสนคุ้นหู...ทำให้ดวงตาสฟ้าใสปรือขึ้นมาสบมองด้วยรอยยิ้มหวาน...

"..Il Ti amo..."

เสียงกระซิบตอบรักเสียงหวานดังขึ้นเบาๆ ขณะที่เปลือกตาของคนป่วยปรือปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน..อเล็กซิสอุ้มร่างของฝาแฝดมาแนบอก ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปยังเตียงนอน วางร่างของคนรักลงไปและน้ำผ้าสะอาดมาเช็ดทั่วร่างผอมอย่างอาดูร

นัยน์ตาสีฟ้าสดปรือขึ้นมามองด้วยความรักเพียงไม่นานก็ปรือปิดลงเพราะทานความอ่อนล้าของร่างกายไม่ไหว..อเล็กซิสยิ้มออกมาน้อยๆ ฝ่ามือลูบหน้าผากบางก่อนจะประทับจูบลงไปเบาๆ...

" ...Buona notte...Cara mia.... "

........................................................................

อากาศในทะเลทรายเริ่มเย็นลงเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดเมื่อดวงอาทิตย์ค่อยลาลับขอบฟ้าไป ฝุ่นทรายยังคงปลิวคลุ้งในทะเลทรายสีมืดหม่น คาวัลโลเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงดาวปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน อีกทั้งดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ไร้เมฆบดบัง ส่องประกายหยอกล้อกระทบเม็ดทรายสีเข้ม โดดเด่นท่ามกลางโขดหินและต้นกระบองเพชรที่ยืนหยัดอยู่อย่างทรหดท่ามกลางผืนทรายเวิ้งว้างสวยงามน่ามองนัก..

ลมหนาวลอยมาปะทะกับผิวหนังจนเย็นวูบ คาวัลโลยกมือลูบแขนตัวเองเบาๆ ขณะที่สายตาทอดมองไปยังกลุ่มคนและงานเลี้ยงที่ดำเนินอยู่ยังจตุรัสใจกลางมือง ซึ่งห่างจากที่ๆเขาอยู่พอสมควร
มาเฟียหนุ่มตวัดผ้าคลุมเนื้อนุ่มพาดคลุมใบหน้า จากที่เคยสงสัยมาตอนนี้เขารู้ซึ้งถึงประโยชน์ของผ้าคลุมและเครื่องแต่งตัวทั้งหลายอย่างชัดเจนเมื่อมาอยู่แถบทะเลทรายแบบนี้ ทั้งโธปตัวยาวใช้กันลมและฝุ่นผง หรือกระทั่งผ้าคลุมที่คลุมใบหน้าจากฝุ่นทรายที่สาดปะทะ..

"..มีอะไร? " ออกปากถามเงาร่างดำๆที่เดินมาใกล้ จากแสงไฟที่สาดส่องมาจากกระโจมที่กางไว้ในยามเช้า ใกล้กับตัวเขื่อนซึ่งมีรถหรูของวิศวะกรรามิลจอดอยู่ใกล้ๆ ส่องให้เห็นว่าผู้ที่มาคือองค์รักษ์หนุ่มนามว่าฮาซานซึ่งเขาคุ้นเคยดี..

"..ชีคให้ผมมาดูแล ..เพราะคุณยังอยู่ในอันตราย " ฮาซานตอบสั้นๆ ขณะที่องค์รักษ์หนุ่มยืนนิ่งอยู่ใกล้โขดหินซึ่งคาวัลโลนั่งพิงอยู่

" อันตราย ? "คาวัลโลเลิกคิ้ว เขาร้องหึในลำคอก่อนจะยักไหล่รับ " ไม่ให้ผมพกปืนล่ะ ง่ายกว่าไม่ใช่เหรอ?"

"..เราไม่คิดจะยื่นมีดให้ขโมย.." ฮาซานตอบกลับ

" อะไรกัน..ซ้ายก็ทะเลทราย ขวาก็ทะเลทราย คิดว่าผมจะหนีไปไหนได้" คาวัลโลส่ายหัวอย่างขบขัน

"..ผมคิดว่าต่อให้ขังไว้ อย่างคุณถ้าคิดจะไปก็คงแปลงร่างเป็นแมลงวันบินหนีได้แน่ " ฮาซานจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่ยอมหลบ คาวัลโลฟังแล้วชะงัก ก่อนจะหัวเราะถูกใจ

" ให้ตายสิ...ไม่คิดจะไว้ใจกันเลยสินะ.." ชายหนุ่มบนพึมพัม " ชีคของคุณคิดมากเกินไปแล้ว..แค่ผมไม่ถูกเชิญไปงานเลี้ยง ไม่ได้หมายความว่าจะโดนชาวบ้านที่นี่ทุบหัวแล้วลากไปฝังซักหน่อย "

เขาเอ่ยถึงเรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้ จากที่รามิลและชาวบ้านสามารถรั้งอัลชาอ์ให้อยู่ร่วมละหมาดตอนเย็นได้ กิจกรรมของท่านชีคก็เริ่มลากยาวเป็นการตรวจเยี่ยมชาวบ้าน คุยกับครูสอนศาสนาที่โรงเรียนประจำเมือง อยู่ดูอูฐเผือกซึ่งมันคลอดลูกออกมาวันนี้และช่วยตั้งชื่อมัน ลองชิมน้ำสมุนไพรสูตรโบราณและอื่นๆอีกมากมาย...จนต้องค้างคืนและอยู่ร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ในที่สุด..

และสำหรับเขา..คนต่างชาติต่างศาสนา..หลังจากนั่งนิ่งตอนชาวบ้านเขาสวดละหมาดกันแล้ว จากนั้นก็โดนสายตาไม่พอใจโจมตีมาเป็นระยะ หลังจากติดสอยห้อยตามไปเยี่ยมชาวบ้าน จนกระทั่งถึงตอนที่ท่านชีคไปคุยกับครูสอนศาสนา ..ก็ถุกรั้งตัวออกไปโดยละม่อมจากฝีมือของคนในพื้นที่ แสดงให้เห็นถึงความป๊อปปูล่าห์...จนอัลชาอ์คิดว่าให้เขาออกมาห่างๆจากหมู่บ้านและรออยู่แถวๆที่สร้างเขื่อนยังจะดีกว่า ดังนั้นเมื่องานเลี้ยงลากยาวมาจนถึงเดี๋ยวนี้..แน่นอนอยู่แล้ว ว่าคาวัลโลไม่ได้ถูกรับเชิญและถูก"หมายหัว"ไว้แล้วโดยสิ้นเชิง

" เรื่องนั้น ชีคฝากมาว่าขอโทษแทนชาวบ้านด้วย..เพราะพวกเขาไม่ค่อยคุ้นกับคนต่างชาติเลยรู้สึกว่าคุณไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของพวกเขามากเกินไป " ฮาซานเอ่ย

"..อืม...ไม่เป็นไรหรอก " คาวัลโลรับคำ เรื่องส่วนตัวที่ว่า..อาจจะเป็นการพูดคุยหรือเรื่องราวต่างๆที่ช่าวบ้านอยากคุยกับชีค..กับผู้นำประเทศของตัวเอง ถึงเขาจะพ่วงไปด้วยในฐานะที่ปรึกษา แต่ทว่าอัลชาอ์ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าของประเทศก็คงไม่อยากจะผิดใจกับพลเมืองของตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการพาเขาไปไหนมาไหนให้ชาวบ้านรู้สึกแปลกๆและไม่ไว้ใจในตัวผู้นำประเทศของตัวเอง..

...พูดถึงการเป็นผู้นำแล้ว วันนี้ที่เขาไปดูอัลชาอ์ในฐานะผู้นำประเทศ..รู้สึกว่าชีคหนุ่มเป็นทีรักใคร่และเคารพของชาวบ้านมากพอดู..การแสดงความชื่นชอบของตัวเขานั้น หากไม่ปรบมือก็อาจจะส่งเสียงเชียร์ ทว่ากับคนที่นี่..การเดินเข้าไปคุกเข่าหรือก้มหัวให้ดูจะเป็นสิ่งที่นิยมทำมากกว่า..มองแล้ว มันรู้สึกถึงการเคารพอย่างถึงที่สุดแสนน่าปลื้มใจจนไม่แปลกเลยที่อัลชาอ์จะยิ้มออกมาอย่างเต็มตื้น..จากที่เคยบึ้งเงียบมาทั้งบ่าย

...ผู้นำที่ดี...ผู้นำที่เพียบพร้อม..องอาจและสูงศักดิ์...นั่น คงเป็นมุมมองในสายตาของเหล่าชาวบ้านที่เฝ้ามอง..

....ในสายตาของเขา ก็ยอมรับว่าอัลชาอ์ทำหน้าที่ได้ดี..เป็นผูนำที่ดี และเป็นผู้ชายที่..ดี..

....ไม่ได้โกรธที่โดนด่าว่าจนคิดจะลากคอเขาไปขังหรือทำอะไรรุนแรงงี่เง่าอย่างที่สามารถจะทำ..ควบคุมอารมณ์ได้ดีและฟังเหตุผลของเขา..อย่างที่ไม่ค่อยมีใคร
ทำได้นัก..

..เป็นคนดี...เป็นคนที่นิสัยดีและะน่าคบหา..

ถ้าเพียงแต่จะ...ตัด...เรื่องความรู้สึกพวกนั้นออกไปได้สักนิด...

คาวัลโลเท้าคางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ยอมรับว่าถ้าเป็นไปได้..เขาก็อยากจะคบหากับชีคหนุ่มในฐานะ "เพื่อน" ที่มีอะไรก็สามารถปรึกษาได้อย่างวางใจ เพราะที่ผ่านมาอัลชาอ์ก็ไม่ได้มีนิสัยแย่ๆอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจหรือไม่ชอบขนาดนั้น ถ้าเพียงแต่เรื่องนี้จะจบลง..ความรู้สึกเกินเลยของอีกฝ่ายที่มีต่อเขาจะจบลงได้แล้วล่ะก็...

" ฮาซาน " จู่ๆคนที่นั่งเงียบก็โผล่งขึ้น ทำให้ฮาซานชะงัก..

"..ตามกฏหมายอิลลามน่ะ..รักร่วมเพศมีโทษขนาดไหน?"

"....คุณหมายภึง..." องค์รักษ์หนุ่มนิ่ง..สีหน้าเครียดขึ้นทันที

"...ก็กฏหมายไง..อยากรู้ ตอบหน่อยสิ.."

"..มีโทษหนัก...ถึงประหาร..ด้วยการแขวนคอต่อหน้าสาธารณะชนเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น.."องค์รักษ์หนุ่มตอบ

"...ถึงขนาดนั้น...ก็ยังจะทำงั้นเหรอ...ทั้งที่เป็นผู้นำ...." คาวัลโลพึมพัมเป็นภาษาอิตาเลียนเบาๆ ทำให้คนฟังขทวดคิ้ว..แต่ทว่ามาเฟียฟนุ่มที่จมอยู่กับ
ความคิดก็ไม่ได้สนใจอะไร ในสมองเขายังคิดเรื่องที่ฮาซานตอบมา..ทั้งที่ผิดขนาดนั้น..และทั้งที่ตัวเองเป็นถึงผู้นำประเทศซึ่งควรปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง...แต่นี่...อัลชาอ์กลับ...

หัวคิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากันข้าๆ พลางสูดหายใจลึก...ทำไมกันนะ...ทำไมถึงได้...

"....ไม่ใช่เพราะไม่กลัวตาย...ไม่ใช่พราะไม่หวั่นกับบาป...แต่ทว่าเพราะรัก. " น้ำเสียงเรียบๆของคนที่เฝ้าอยู่ไม่ไกลทำให้คนฟังชะงัก..คาวัลโลมองหน้าคนที่พูดราวกับรู้ดีนักหนาด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง...

..เพราะรักมาก...มากจนไม่อาจจะห้ามหักใจ...

...รัก....จนไม่คิดจะกลัวโทษทัณฑ์ทั้งหลาย...

...จริงๆหรือ?

"...แปลกจัง...ที่คุณทำเหมือนจะยอมรับมันได้.." มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้ว..สีหน้าแปลกใจ

" ผมไม่ได้ยอมรับได้...แต่...ที่สุดแล้ว...ความสุของชีคก็สำคัญกว่า " ฟังคำตอบบวกกับสีหน้านิ่งๆของฮาซานแล้วนึกนับถือองค์รักษ์ตรงหน้าขึ้นมาอีก
นิด..ความจงรักภักดีและความรักแบบถวายหัวของหมอนี่มันสุดยอดจริงๆ มิน่า..อัลชาอ์ถึงยอมให้ฮาซานเป็นคนสนิทที่คอยอยู่ใกล้ๆ...เพราะขนาดเรื่องที่ตัวเองไม่
สามารถยอมรับได้ สุดท้ายมันก็ยังยอมรับเพื่อความสุขของคนที่ตัวเองเทิดทูนบูชา..

"...หืม...ทั้งที่ผมก็จะไป.." แน่นอนว่าคาวัลโลยังไม่ลืมคำพูดของตัวเองที่เคยบอกไว้..

"....เรื่องนั้น..มันไม่อาจจะเปลี่ยนใจคนๆหนึ่งได้หรอก "ฮาซานตอบกลับสั้นๆ "ชีคเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การได้ขึ้นครองราชย์ที่ว่ายาก
ยังทรงฟันฝ่ามาได้เพราะความมุ่งมั่นแน่วแน่..หากลองไตั้งใจทำสิ่งใด ชีคจะไม่ยอมละความพยายาม..เช่นเดียวกับที่รู้สึกรักและผูกพันกับใครแล้ว..มันก็ยากจะเปลี่ยนแปลง.."

" แต่ทว่าเมื่อเปลี่ยนไปแล้ว...ก็จะไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิมอีกเลย.."

"..........." คาวัลโลมองสบตาฮาซานแล้วนิ่งเงียบ นี่มันกำลังจะบอกเขาทางอ้อมอยู่รึเปล่า ว่าการจะจากอัลชาอ์ไปนั้นหมายความว่าตลอดไป..และจะไม่มี
วันได้รับความรู้สึกอะไรแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง..และนั่นมันคุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่?

...หรี่ตาลงน้อยๆ...แต่สุดท้ายก็ปัดความคิดนี้ให้พ้นไปจากสมอง..เพราะ...ยังไงเขาก็ไม่ได้ชอบ...หรือรัก...อยู่แล้ว..

"...แต่มันอาจจะเป็นผลดีกับพวกคุณไม่ใช่เหรอฮึ..." คาวัลโลดูจะสนุกสนานกับการทดสอบเนื้อแท้ของความจงรักภักดีที่แสดงออกมาอย่างยิ่ง "..ถ้าเขาเปลี่ยนไปได้จริงๆ ก็อาจจะกลับไปรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ไม่ใช่เหรอ? อย่างฟาติมะห์ หรือ..คนอื่นๆที่ดีพร้อมและสามารถจะเป็นคู่ครองที่ดีได้..ไม่เหมือนผู้ชาย ต่อให้
ชอบให้รักยังไง คนอื่นๆก็มองว่ามันผิดอยู่ดี "

" นั่นคุณกำลังพูดให้ร้ายตัวเองงั้นเหรอ? หรือว่าต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่ " ฮาซานขมวดคิ้ว ออกปากถามชายตรงหน้าอย่างสงสัยไม่น้อย

" เปล่าๆ..ก็แค่แนะนำ. แต่พูดเฉยๆ" คาวัลโลยักไหล่

"...คุณบอกเรื่องนี้กับอัลชาอ์รึเปล่า...เรื่องที่ผมบอกว่าจะไป..."

"...ไม่.." ฮาซานตอบสั้นๆ

" อืม..."คนฟังพยักหน้ารับ " นั่นยิ่งหาเหตุผลไม่เจอเลยนะ เรื่องที่เขาทำ..ใช่ไหม? "

"........" ฮาซานนิ่งเงียบ จ้องมองแววตาวาววับของผู้พูดที่จับจ้องมายังตัวเขาเองนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่แวววะวับในความมืดนั้นทำให้องค์รักษ์หนุ่มต้องหรุบตา
ลงไม่ยอมสบ

"..ผมคิดว่าเพราะรู้..ว่าผมกำลังทำอะไร อัลชาอ์เลยตัดสินใจสั่งการให้คนพวกนั้นมาก่อเรื่อง...แต่ว่า....." คาวัลโลถอนหายใจเบาๆพลางกระชับผู้คลุมที่ตวัดพาดไหล่เข้าหาตัว

" นั่นไมใช่คนของชีคทั้งหมด " ฮาซานตอบกลับ " มันมีคนของกลุ่มอื่นอยู่ด้วย "

" งั้นพอจะเชื่อได้รึยังล่ะ..ว่าคนที่ผมพูดน่ะ เขาเป็นคนทำจริงๆ..." คาวัลโลเลิกคิ้วถาม

"...การเกิดเรื่องในพื้นที่ของท่าน...ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นฝีมือของท่านอาเหม็ด.." ฮาซานตอบสั้นๆ ทว่ายังยืนยันความคิดของตนเอง..

" งั้นเหรอ...อ้อ จริงสิ...ที่เคยพูดว่าท่านอาเหม็ดเป็นผู้สนับสนุนให้อัลชาอ์ได้ครองราชย์น่ะ หมายความว่าเขาไม่คิดจะครองราชย์ตั้งแต่แรกเหรอ? " มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วงงๆ

"...ท่านอาเหม็ดเป็นน้องชายของฝ่าบาทอาซิซ...เสด็จพ่อของชีค..ตามประเพณีของเซเนียยา เจ้าชายคนโตจะได้ครองบัลลังค์ ส่วนเจ้าชายคนรอง จะได้ครองจารเซ....จารเซเป็นเมืองที่สำคัญ ทั้งทางยุทธศาสตร์ เมืองท่า หรือกระทั่งเป็นหน้าด่านชายแดนคุ้มครองประเทศ..ท่านอาเหม็ดมาครองจารเซจนสิ้นรัชสมัยของฝ่าบาทอาซิซ ..พวกเสนาบดีหรือกรมทหาร ต่างก็อยากให้ท่านปกครองประเทศ เพราะยามนั้นราชบัลลังค์ยังว่าองยู่ "

ฟังฮาซานเเล็คเชอร์เรื่องราวความเป็นมาของตำแหน่งผู้นำแล้วขมวดคิ้วมุ่น คาวัลโลอ้าปากถามไปอย่างสงสัยจัด

" ว่าง...ก็อัลชาอ์ไม่ใช่เหรอที่เป็นลูกชายของชีคคนก่อน..แล้วจะมาว่างได้ยังไง? " ฟังแล้วนึกงงไม่น้อย จึงหันไปมองหน้า พบว่าฮาซานยืนมองหน้าเขานิ่งๆสีหน้าเคร่งขรึม..

"..มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น..." ฮาซานยิ้มออกมาอย่างชืดชา..

"...มีอะไรที่ผมรู้ไม่ได้อีกงั้นเหรอ? " คาวัลโลส่งยิ้มไปให้คนเล่าอย่างไม่เห็นขันแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะนึกเอะใจบางอย่างได้ " หรือที่ว่า...อัลชาอ์เป็นลูกของผู้หญิงยิปซี..ต่างชาติ...มันจะเป็นปัญหา? ผู้คนไม่ค่อยยอมรับเขาเหรอ "

"คุณรู้... "ฮาซานมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้ว..

"...อืม....." รับคำด้วยสีหน้าปกติ แต่คาวัลโลก็ไพล่ไปคิดถึงคำพูดของนักโทษที่เขาเจอตอนนั้น หมอนั่นมันพล่ามว่าอัลชาอ์ไม่สมควรเป็นกษัตริย์ เพราะสายเลือดของหญิงยิปซี คนต่างชาติ...หรืออะไรเทือกนั้น แถมพูดเรื่องนี้ยังถูกอัลชาอ์โกรธเอาเสียด้วย..

"....เช่นนั้นคุณก็ต้องรู้สิ...ว่าตามประเพณีของเซเนียยา...ทายาทของผู้นำรัฐต้องมีเชื้อสายของเราโดยสมบูรณ์.." ฮาซานออกปากอธิบายสีหน้าเคร่ง " ฝ่าบาทอาซิซ แต่งงานกับเส็ดจ แม่ของชีค...ซึ่งท่านไม่ใช่สตรีชาวเซเนียยา...ท่านเป็นชาวยิปซี การที่ฝ่าบาทแต่งงานกับท่านทำให้เกิดเสียงคัดค้าน..ไม่มีใครต้องการให้คนต่างถิ่นมาเป็นรานีของเรา.. จนเกิดรัฐประหาร...พระนางคลอดชีคออกมาไม่นานก็ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต..และฝ่าบาทอาซิซก็ส่งชีคไปอยู่ที่อังกฤษ.."

"......" คาวัลโลนิ่งฟังประวัติชีวิตอันโชกโชนของอัลชาอ์ด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ นึกไม่ถึงว่าเพราะเรื่องบัลลังค์และความเหมาะสมทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สมัยนี้แล้วยังมีเรื่องแบบนั้นอยู่อีก...

"...ฝ่าบาทอาซิซอภิเสกอีกครั้งกับท่านอัลลิยะ...ซึ่งเป็นเสด็จ แม่ของเจ้าชายฟาลซาอ์.."

"..เอ๋? งั้นฟาลซาอ์ก็เป็นน้องชายของอัลชาอ์งั้นเหรอ? " คาวัลโลอ้าปากค้าง สีหน้าตกตะลึงไม่น้อย

"..ไม่ใช่....เจ้าชายฟาลซาอ์เป็นลูกของท่านอัลลิยะห์ก็จริง..แต่เขาเป็นบุตรของสามีคนก่อนของท่าน..ไม่ใช่บุตรของฝ่าบาทอาซิซ..."ฮาซานเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม " แต่ด้วยเชื้อสายแล้วเขาก็เป็นคนในราชตระกูลชั้นสูงของเซเนียยาเช่นเดียวกับท่านรามิล...อีกทั้งฝ่าบาทอาซิซยังทรงเอ็นดูจึงรับท่านฟาลซาอ์เป็น
บุตรบุญธรรม.."

"........." คาวัลโลพยักหน้ารับ..อย่างเริ่มจะเข้าใจ แผนผังครอบครัวอันแปลกประหลาดนี้แล้ว..

"..เมื่อฝ่าบาทอาซิซเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร...ท่านอาลิยะห์ก็บาดเจ็บหนัก....เจ้าชายฟาลซาอ์ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ..ทุกคนจึงพร้อมใจกันหนุนให้ท่านอาเหม็ดขึ้นเป็นผู้นำ...ทว่า ท่านอาเหม็ดก็ไม่ได้สนใจรับคำขอนั้น แต่กลับหันไปสนับสนุนชีคแทน..หากท่านจะเป็นกษัตริย์จริงก็สามารถทำได้แล้ว..ไม่จำเป็นจะต้องลำบากช่วยชีค ท่านต้องเสี่ยงชีวิตและทำสงครามมากมายหลายปี กว่าจะนำบัลลังค์เซเนียยาที่สมบูรณ์ถวายแด่ชีคได้..และนั่น..ตอนนี้...ท่านจะเป็นฝ่ายมาชิงบัลลังค์นั้นแทนงั้นหรือ?..มันเป็นไปได้ด้วยรึไง?"

"........." คาวัลโลฟังแล้วนิ่งเงียบ..เรื่องสงครามลูกชิงบัลลังค์พ่อหรือพี่ชิงบัลลังค์น้องนั่นเขาพอจะเข้าใจ แต่ทง่าเรื่องการเสียสละอันคาดไม่ถึงของอาเหม็ดนี่มัน...เกินจะเข้าใจจริงๆ

"...เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน " เขายักไหล่ เพราะถึงจะเคยดียังไง มันก็แค่"เคย"ปัจจุบันจะเป็นแบบนั้นรึเปล่านั่นน่ะอีกเรื่อง..ในเมื่อตอนนี้หลักฐานและความ
เชื่อมโยงทั้งหมดมันอยู่ที่ชายคนนั้น เขาก็ควรจะสงสัยอาเหม็ด..และสืบหาเรื่องราวต่างๆโดยพุ่งเป้าไปที่ชายคนนั้นตามสมควร..

"........." ฮาซานก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารู้ดีว่าการจะโน้มน้าวเปลี่ยนใจใครไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งหากคนๆนั้นยังคิดยึดมั่นในความคิดของตัวเอง จะฝืนพูดมากไปก็ชวนให้วิวาทกันเพียงเท่านั้น..

คาวัลโลอ้าปากหาวเบาๆ ด้วยความเหนื่อยหน่าย เขากำลังจะอ้าปากชวนคุยแก้เบื่อ แต่หางตากลับมองเห็นเงาดำวูบไหว...ชวนให้ฉุกคิด...
สายลมเย็นพัดพาหอบกลิ่นของควันไฟและเม็ดทรายมาตามกระแสลม คาวัลโลหรุบตาลงเมื่อลมหอบเอาเม็ดทรายเล็กๆสาดปะทะสู่ใบหน้า เขายกแขนขึ้นมากั้นด้วยอัปกริยาเป็นธรรมชาติ แต่เอียงใบหน้าไปด้านซ้าย กวาดสายตาเหลือบแลหาที่มาของเงาดำที่ทำให้เขานึกสงสัยนั่น..

คาวัลโลตวัดผ้าคลุมมาครอบศรีษะกันลมพลางออกปากบ่น เขาขยับตัวขึ้นคล้ายเมื่อยขบ แต่องศาการนั่งกลับเปลี่ยนเป็นหันข้าง รวมทั้งแววตาที่ถูกปิดบังโดยผ้าผืนหนาที่กวาดมองหาต้นตอของสิ่งผิดปกติ..

ร่างเงาสีดำซุ่มเงียบอยู่ตรงเพิงสำหรับเก็บอุปกรณ์ก่อสร้างเล็กๆน้อยๆ...คาวัลโลมองเห็นร่างนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวถอยหลัง โดยที่ใบหน้าจับจ้องอาการของเขาไม่วางตา..

ชายหนุ่มเกร็งตัวแน่น นัยน์ตาทั้งสังเกตและหลบมองอย่างระแวดระวัง...

ร่างของฮาซานที่ยืนถัดไปไม่ห่างนักนึกผิดสังเกตที่อีกฝ่ายเงียบไป องค์รักษ์หนุ่มขมวดคิ้วก้มมองดูร่างที่นั่งพิงกองหิน..เขามองเห็นเสี้ยวหน้าที่เหลือบแลด้านซ้าย..ด้วยท่าทีเคร่งขรึมชวนสงสัย..

ฝ่ามือแตะลงตรงยังเอวที่มีปืนพกขนาดสั้นเหน็บอยู่ กำลังจะหันซ้ายขวามองโดยรอบ...หากทว่า..

"..อย่าเพิ่ง.." น้ำเสียงเรียบๆของคาวัลโลทำให้เขาชะงัก..

" แต่..."

" อย่าทำท่าทางรู้ตัวให้พวกมันเห็น...มันมากี่คนไม่รู้...ดูให้แน่ก่อนแล้วค่อยโต้ตอบ..." คาวัลโลสั่งการสั้นๆ ด้วยท่วงท่าระวังระไว.. " อย่าลืมว่าคนที่มีอาวุธมีแค่คุณ...ถ้ามันมามากกว่าหนึ่ง เราคือฝ่ายเสียเปรียบ.."

" ผมจะส่งข่าวให้ทหารของเรารู้ " ฮาซานเอ่ยถึงทหารที่เฝ้าอยู่ที่กระโจมพักซึ่งห่างไปไม่ไกล..

"....ถ้ามีเสียงปืนพวกเขาจะรู้ตัวเอง...เอาตัวให้รอดก่อน.." คาวัลโลปรามพลางขยับตัวเอนหลังแนบก้อนหินใหญ่... "...ทางซ้ายของผมมีหนึ่งคน...มันกำลังอยู่ที่อาคารเก็บอุปกรณ์..."

"........". ฮาซานกวาดตามองด้านขวาของฝั่งตนบ้าง นัยน์ตาสีเข้มเหลือบแลเห็นร่างที่กำลังเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วไปด้านกำแพงเมือง..และกระโจมที่กางไว้..

"...ดูข้างบนด้วย..." คาวัลโลเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าเครียดขึ้ง ขณะที่กวาดตามองหาทางรอด..

"...ทางนี้มีสี่..." ฮาซานเอ่ยเสียงเครียด ทางด้านซ้ายที่เป็นทางไปสู่ตัวเมืองมีเหล่าคนในชุดดำอยู่ค่อนข้างมาก พวกมันคงกะจะตัดทางไม่ให้พวกเขา
เข้าไปหลบภัยในเมืองได้ อีกทั้งคอยกันท่า จัดการทหารที่กำลังเฝ้ากระโจมอยู่ไม่ให้แจ้งข่าวกับกำลังพลส่วนอื่นที่ประจำอยู่ในเมืองให้ตามมา..

"...ไปแจ้งพวกทหารที่เฝ้ากระโจม..ห้ามกระโตกกระตาก.." คาวัลโลสั่งการ

"...แต่คุณ...." ฮาซานออกปากท้วง อย่างไม่แน่ใจ

" เอาปืนมาให้ผม...ผมดูแลตัวเองได้.." คาวัลโลตอบสั้นๆ...เขาขมวดคิ้วกับความเงียบที่ได้รับ เมื่อเหลียวไปพบมีหน้าเคร่งเครียดของฮาซานก็ชักสีหน้าหงุดหงิด

" จะเลือกชีวิตคนหรือคำสั่งก็ตามใจแล้วกัน..." มาเฟียหนุ่มตอบเสียงเรียบ..กับองค์รักษ์หนุ่มที่กำลังชั่งใจว่าจะทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายที่ให้เฝ้าดูแลแต่ไม่มอบอาวุธให้กันหลบหนี หรือจะเสี่ยงมอบให้ในยามมีอันตรายเพื่อรักษาชีวิตเอาตัวรอด แม้จะเสี่ยงกับการที่อีกฝ่ายจะออกไปก็ตาม..

"..หากคุณสาบานว่าจะไม่ไปไหน..." ฮาซานตอบเสียงเครียด

"...จนกว่าหน้าที่ของผมจะจบลง.." คาวัลโลตอบ สายตาจ้องความมืดของทะเลทรายกว้างเบื้องหน้า มองไปยังขอบฟ้าที่มีแสงดาวพราวระยับต่ำราวกับจะ
เอื้อมถึงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง..

".....สิ่งแรกที่คุณจะสั่งให้ทหารทำคือแจ้งอัลชาอ์...อย่าให้พวกเขาขยับปืน..เพราะนั่นจะเป็นสัญญาณปลิดชีวิตตัวเอง..."

ฮาซานพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งกระบอกปืนลงบนผืนทรายแล้วผินตัวหันหลังไปยังกระโจมด้วยท่าทีปกติ หากแต่ดวงตาฉายแววร้อนรน นัยน์ตาเข้มกราดมองไปยังกลุ่มผู้บุกรุกที่ต่างก็ซุกซ่อนจากสายตาของตนอย่างเชี่ยวชาญ..ขณะที่ก้าวไปด้วยหัวใจระทึก...

ปัง! ปัง ! ปัง !

เสียงปืนที่ดังเป็นสามนัดติดๆกันเป็นดั่งสัญญาณให้ออกวิ่ง คาวัลโลถีบตัวลุกพรวด กระโจนเข้าหากระบอกปืนที่แน่นิ่งอยู่บนผืนทรายท่ามกลางแสงอันเลือนราง ทัศนะวิสัยที่แทบจะเรียกได้ว่ามืดบอดยามคว้ากระบอกปืนและหาทางหนีนั้นทำให้ต้องถลามายังเพิงหินที่เดิม.. นัยน์ตาสีน้ำทะเลตวัดมองกระโจมพักที่มีร่าง
ของทหารสองนายแน่นิ่งอยู่อย่างเคร่งเครียด พลันเสียงปืนก็ดังขึ้นติดๆกันอีกคำรบ..พร้อมกับความร้อนที่แล่นผ่านผิวแก้มทำให้ตัวเย็นวาบ รีบถลาออกจากที่กำบัง
โดยพลัน..

เมื่ออีกฝ่ายที่มีมากกว่าสามารถมองเห็นได้ยามที่มีแสงสลัว นั่นทำให้คาวัลโลตัดสินใจวิ่งสุดฝีเท้าไปยังผืนทะเลทรายอันมืดมิดเบื้องหน้า...หลอกล่อให้อีกฝ่ายติดกับเพราะความมืดมิดของกลางคืนและความไม่คุ้นชินต่อสภาพพื้นที่ซึ่งอาจจะสร้างปัญหา ระหว่างถ่วงเวลารอคนของอัลชาอ์ให้ปรากฏกาย..

เอื้อมมือกุมซี่โครงพร้อมกับหอบยาวจนตัวสั่นเมื่อวิ่งจนสุดฝีเท้า...คาวัลโลกลิ้งตัวคลุกเม็ดทรายเมื่อเนินทรายที่ก่อรุปร่างอันไม่แน่นอนทำให้ฝ่าเท้าสะดุดล้ม

".แฮ่กๆ...." ก้มตัวลงแล้วถลาไปหาเงาตะคุ่มของต้นปาล์มที่ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ใกล้เพิงผา.. คาวัลโลได้ยินเสียงสถบเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นเป็นระยะ สลับกันเสียงปืนที่ดังขึ้น ขณะที่เขากระโจนเข้าซุกกายบนผืนดินแข็งปนหิน แม้ทั้งร่างและฝ่ามือจะครูดกระแทกกับผืนดินเสียจนเจ็บชาเขาก็ไม่ได้สนใจ มาเฟียหนุ่ม
คลานหมอบตัวไปโดยไม่ใส่ใจงูหรือสัตว์อะไรก็ตามที่จะสร้างอันตราย ประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวเต็มที่บอกให้รู้ว่ามีเสียงเครื่องยนต์คำรามอยู่ไม่ไกลจุดความหวังให้เกิดขึ้นอีกครา..

ปัง !!

เสียงปืนที่ดังขึ้นใกล้กว่าที่คิดทำให้ตัวเย็นวาบ คาวัลโลถีบตัวขึ้นจากพื้น ล้วงเอาปืนที่ฮาซานทิ้งไว้ให้มาปลดเซพอย่างเชี่ยวชาญ ขณะที่สายตาสอดส่องหาเป้าหมายท่ามกลางความมืดมิดและเสียงลมพัดหวีดหวิว

" โอ๊ย!!...." ความเจ็บที่พุ่งพรวดทำให้คาวัลโลร้องออกมาอย่างทนไม่ไหว...ชายหนุ่มรีบสะบัดมือขึ้นจากที่วางยันพื้น และรีบลุกจากพื้นพร้อมกับออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็ว..แผลที่มือแม้จะเจ็บแปลบและแสบร้อน แต่เขาก็ไม่มีโอกาสจะดูด้วยซ้ำว่าตัวอะไรที่กัด ทำได้เพียงรีบลุกออกมาก่อนจะโดนอะไรที่ร้ายกว่านั้นทำให้เกิดแผลซ้ำ แม้จะนึกกังวลขึ้นมาวูบหนึ่งว่าอาจะเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง ทว่า...ตอนนนี้ที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย..สิ่งที่ควรสนใจคือการเอาตัวรอดเฉพาะหน้า

"#$%^&*() " คราวนี้เสียงสถบที่ดังขึ้นนั้นเป็นภาษาอาหรับ..คาวัลโลขมวดคิ้ว ขณะที่ถอยหลังวิ่งไปสู่ทะเลทรายกว้างและห่างจากเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองไม่เห็นคนหรือกำลังพลที่เดินทางมาเลยสักนิด..และยิ่งนึกเสียใจที่ตัวเองหลอกล่อคน พวกนี้เข้ามาในทะเลทราย สำนึกรู้บอกว่ามันทำให้ตัวเองตกหลุมพรางชัดๆ แม้ความมืดที่รายล้อมจะช่วยอำพรางตัว ทว่าก็ทำให้สายตาของเขามืดบอดด้วยเช่นกัน และในเมื่อคนที่โจมตีเขาเหล่านี้เป็นชาวทะเลทรายก็ย่อมคุ้นเคยที่นี่มากกว่าเขาอยู่แล้ว!!

"..บ้าชิบ..." ชายหนุ่มสถบลั่น แผลที่มือมันปวดบวมเป่งมีอาการชาแขนสั่นระริกจนจับแล้วรู้สึกได้..ขาที่วิ่งสะเปะสะปะก็เริ่มอ่อนกำลังลงพร้อมกับอาการเจ็บแปลบตรงซี่โครงด้วยความเหนื่อยหอบ ได้ยินเสียงพูดคุยดังลั่นของกลุ่มคนที่เขามองไม่เห็นแต่ที่น่าตระหนกคือมันใกล้เข้ามา....ใกล้ตัวเข้ามาทุกที..

คาวัลโลสถบพรืดอย่างไม่พอใจ เขากัดฟันกรอด ไม่มีทาง..อนาคตบอสมาเฟียตระกูลเก่าแก่ของอิตาลี คนอย่างเขา คาวัลโล วาลกัส จะมาพ่ายแพ้ถูกฆ่าเพราะเรื่องแบบนี้ ต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ...ไม่มีทางหรอก...

นัยน์ตาสีน้ำทะเลวาวโรจน์อย่างไม่ยอมแพ้...เรื่องอะไร..เรื่องอะไรจะยอม..เรื่องอะไรจะต้องมาตาย...ด้วยสาเหตุโง่เง่าไร้สาระ...

ไม่มีทาง...ไม่มีวัน...จะยอมแพ้..

.....ฝีเท้าที่สั่นไหวกลับมามั่นคงอีกครา คาวัลโลได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามใกล้มาเรื่อยๆ...เขากระชากผ้าคลุมในมือมาฉีกเป็นชิ้นยาว ฝ่ามือที่บวมเป่งถูกปลาย
นิ้วโป้งข้างขวากดเคล้นลงบนบาดแผลแรงๆ บีบให้หยดเลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำผ้าที่ฉีกไว้นั้นพันรอบแขนข้างที่ถูกกัดเป็นการห้ามเลือดและหยุดพิษรักษาพยาบาลเบื้องต้นชั่วคราว..

...กระชับปืนในมือแน่น ขณะที่ออกแรงวิ่งไต่บนเนินทรายลูกโตไปยังส่วนยอด เขาได้ยินเสียงร้องภาษาอังกฤษผสมกับภาษาอาหรับดังสะท้อนในอากาศ หรี่ตาลงเมื่อแรงลมสาดปะทะ สมองคิดหาทางรอดด่วนจี๋ ประกอบกับสังเกตสังกากลุ่มคนนี้ไปในตัว..หากเป็นชาวอาหรับคนของที่นี่...แน่นอนว่าจะคุ้นชินและไม่มีการตะโกนคุยกันแบบนี้แน่นอน..แต่ประโยคพูดภาษาอังกฤษจุดความสงสัยให้วาบขึ้นในใจ..กลุ่มกองกำลังต่างชาติที่เข้ามาในเซเนียยา...ประเทศที่แทบจะเรียก
ว่า"ปิด" โดยสมบูรณ์แบบ...

..ใคร..มาทำไม...ต้องการอะไรกันแน่?

หัวคิ้วสีเข้มขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ขณะที่ปลายเท้าก้าวไม่หยุดเพื่อขึ้นไปบนเนินทรายหวังหลบพักกาย..

.....พรึ่บ.....

หากทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นยังเนินทรายลูกโต ผลตอบแทนที่ความเหนื่อยล้า กลับกลายเป็นแสงไฟจ้าจากรถโฟร์วีลที่สาดเข้าปะทะร่าง...

..คาวัลชะงักค้างด้วยสีหน้าตกตะลึงและคาดไม่ถึง..

....อุบายร้ายกาจ...แผนการ์ณหลอกล่อที่สมบูรณ์แบบ...

นัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองคนในชุดโธปและชุดเชิ๊ตสากลที่ยืนปะปนกันอยู่...คนเหล่านั้นจ้องมองสีหน้าของเขาด้วยความพึงพอใจ..สายตาวาววับนั้นชวนให้หนาวเยือกและความคั่งแค้นปะทุหนัก...

....บ้าที่สุด !!!!

คาวัลโลกัดฟันกรอด ...หากก็จำต้องทิ้งปืนลงข้างกายบ่งบอกอาการยอมแพ้..นัยน์ตาสีน้ำทะเลกวาดมองทั่วบริเวณ มองหน้าผู้คนที่อุกอาจ หาญกล้าที่จะมาซุ่มจับตัวเขาท่ามกลางการคุ้มครองของชีคหนุ่มเเห่งเซเนียยา.. มองหาเจ้าของแผนการ์ณอันแยบยลที่หลอกล่อให้เขามาหาตัวเองตามที่วางไว้..

ไม่ใช้ชาวอาหรับ...คอยท่าให้เขาออกมาห่างจากการคุ้มกัน..

แกล้งไล่ล่าให้เขาเหนื่อยอ่อน กวาดต้อนจนทำให้ว้าวุ่นครุ่นคิด..

จุดความสงสัย..ทำให้เขาตัดสินใจออกมาแทนที่จำหลบหนีไปพร้อมๆกับคนคุ้มกัน...

คาวัลโลหอบเบาๆด้วยความเหนื่อยล้าหัวสมองหมุนติ้วแม้ท่าทีอ่อนล้า...เขาครางออกมาเบาๆเมื่อ แผลที่ฝ่ามือเริ่มบีบรัดจนเจ็บปวดอีกครา ชายหนุ่มตวัด
สายตามองฝ่ามือตัวเอง เขาพบว่ามันมีเลือดสีคล้ำเปื้อนอยู่บนแผลช้ำลือดและบวมเป่งจนน่ากลัว

ประตูรถโฟล์วีลเปิดออก และร่างของชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมา..คนที่ทำให้คาวัลโลเบิกตากว้าง...มองเห็นเส้นผมสีบลอนด์ที่ซีกจางจนเกือบขาว...ใบหน้าหล่อ
เหลาราวเทพบุตร หากทว่าเย็นชาราวกับฉาบด้วยน้ำเเข็งบางๆที่ไม่มีวันละลายดูราวกับว่าเป็นเขาเองเป็นผู้ที่ทำให้ทะเลทรายแห่งนี้หนาวเย็นขึ้นมากะทันหัน..และ
นัยน์ตาสีเทาคู่นั้นเย็นยะเยียบเช่นเดียวกับใบหน้าที่แข็งกระด้างมองมาอย่างมาดร้าย...

....คาวัลโลยิ้มออกมาช้าๆเมื่อพบว่าคำตอบของคำถามที่เขาอยากรู้คืออะไร...

.......เมื่อได้มองเห็นคนๆนี้อยู่ตรงหน้า...ความสงสัยทุกอย่างก็กระจ่างชัดขึ้นมาทันที...

.........ชายคนนี้....ราฟาเอลโร่ บอนต์เต้

........................................

ฝาแฝดหวานโฮกฮากปนหื่น ฮ่าๆๆๆ..ช่วงนี้เครียดค่ะ หงุดหงิดกับเรื่องซวยๆ และเวลาเครียดเราก็มีวิธีระบายออกกับนิยายอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเขียนฉากดราม่า และสองคือเขียนฉากหื่น ! laugh
ลงแบบนี้แล้วหวังว่าคงไม่มีคนเชียร์ให้อิชั้นเครียดเยอะนะ (เพราะเสี่ยงจะลงอีกฉาก และนี่ไม่ใช่หวยล๊อก ฮ่า...)
เรื่องฝาแฝดตอนนี้ก็อยากจะบอกสั้นๆคือ...
อเล็กซิส....หื่นนะลูก.... ( ยื่นผ้าซับเลือดให้ชาวบ้าน)
...ส่วนช่วงนี้ที่หายไปนานไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ พอดีหนีไปอยู่กินกับอเล็กเซย์มา (โยกศรีษะหลบลูกปืน) แหะๆ...ช่วงนี้ยุ่งค่ะ และมีเรื่องซวยซับซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน นั่นก็คือ...กระเป๋าตังค์หาย !!!
ไอ้เงินในนั้นไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ...แต่นี่มันเอทีเอ็มสองใบ บัตรนักศึกษา บัตรประชาชน หายไปหมด ตอนนี้เลยต้องพกบัตรเหลืองเหมือนต่างด้าว ต้องรอท่านๆเถียงกันเสร็จก่อน ฮึ่ยยยย..และที่สำคัญที่สุดคือกุญแจห้องงงงง..เช็ดเป็ดเถอะพี่น้องงงงงงงเงินน่ะอยากได้ก็เอาไป แต่ไอ้กุญแจห้องน่ะขอได้ม้ายยย ไม่อยากโดนอาม่าแกโวยนะเฟ้ย !
..ส่วนคาวี่ที่รัก...ตอนนี้กิ๊กเก่ามาตามสินะ..(อุ๊บส์) ฮ่าๆ...ตอนนี้คาวี่แอบน่าสงสาร แอบเหงาแถมถูกคนเขียนทารุณกรรมอีก...หลังจากใจร้ายจนโดนแฟนๆถามตีก้น ตอนนี้ก็สงสารพ่อคุณเขาหน่อยเต๊อะ..
ปล. ตอนนี้ผังครอบครัวสอัลชาอ์ออกแล้วนะ มีงงๆกันบ้างรึเปล่า?